มีเพื่อนท่านหนึ่งส่งข้อความมาให้หลังไมค์ ให้ความเห็นต่างๆ และบอกว่า "อย่าไปห่วงอะไรเลย เพราะพรรคเพื่อไทยกำลังเล่นเกมส์ 'ลับลวงพราง' กับฝ่ายอำมาตย์อยู่ รออีกสักพักกับความหวังที่กำลังจะเกิดขึ้น เพราะเราจะได้เห็นกันเองว่า ที่แท้จริงแล้ว เขากำลังต่อรองเพื่อประชาชน"
ดิฉัน อ่านแล้ว ก็พยายามใช้วิจารณญาณถามตนเองว่า พรรคที่ประชาชนเขาเลือกเข้าไปปฎิบัติหน้าที่นั้น คนส่วนใหญ่เลือกเพื่อให้เข้าไปเล่นเกมส์ต่อรองกันหรือ? ไปๆ มาๆ ผู้แทนราษฎร กลายเป็น broker แบบตลาดหุ้นไปเสียแล้ว
ท่านผู้ที่ส่งข้อความมานี้ ยังได้อธิบายถึงตำราในเรื่องสามก๊ก เกี่ยวกับ ตัวละครชื่อ "อุยเอี๋ยน" รวมทั้งแผนการต่างๆ ในตำราพิชัยสงคราม ฯลฯ
จะ ขอตอบท่านใน Notes ฉบับนี่้ว่า ท่านผู้ที่ส่งข้อความมาให้ เป็นผู้มีความซื่อสัตย์และยึดตัวอยู่กับพรรคที่ท่านสังกัดอยู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านสามารถแก้ต่างให้กับพรรคและตัวแกนนำ (หรือผู้นำ) ในทุกๆ เรื่องได้ ท่านเป็นฐานเสียงอย่างซื่อสัตย์ของพรรคที่แท้จริง รวมไปถึงทัศนคติของการมองโลกในแง่ดีและการใช้เวลาโดยการ "รอความหวังที่กำลังจะเกิดขึ้น" (ซึ่งทางฝ่ายอำมาตย์ชอบมากๆ ที่ประชาชนไม่ต้องไปทำอะไรกัน)
ดิฉันจะถามกลับไปถึงท่านว่า การ "รอ" ปล่อยเวลาให้ผ่านไปนั้น มันเป็นประโยชน์กับตัวท่านเองหรือเปล่า? ท่าน สามารถทำอะไรให้กับสังคมและประเทศชาติได้บ้าง เพื่อการพัฒนาบ้านเมืองไปสู่รูปแบบประชาธิปไตย ซึ่งเป็นของประชาชน บริหารโดยประชาชน และ เพื่อประชาชนอย่างแท้จริง?
การ พัฒนาจะเกิดขึ้นได้เพราะการสื่อสารและการกระทำสองทาง คือ ท่านต้องสื่อสารกับรัฐบาล และรัฐบาลต้องสื่อสารกลับมาถึงตัวท่าน มันถึงประสบความสำเร็จได้ ถ้าเป็นแบบ one-way มันก็เหมือนกับปรบมือข้างเดียว
คำว่า "รออีกสักพัก" สักพักของท่านนั้น อาจจะใช้เวลาอีกเป็นปีๆ ก็ได้ รถไฟขบวนที่ท่านต้องการจะโดยสารไปด้วยนั้น อาจจะไม่เดินทางมาจอดที่สถานีของท่านเลย ท่านปล่อยให้เวลาผ่านไปจริงๆ โดยการ "รออีกสักพัก"
----------------
ถ้าถามความคิดเห็นส่วนตัวของดิฉัน เรื่องลับลวงพราง หรือ เกมส์ต่างๆ นั้น ดิฉันขอยืนยันว่า มันเป็นไปไม่ได้ เพราะเราไม่ได้อยู่ในโลกสมัยสามก๊ก
ความ คิดเรื่อง "ลับลวงพราง" เป็นความคิด ที่พวกเรา "คิดกันเอง" มากกว่า เป็นเรื่องของการปลอบใจตนเองว่า "เราไม่ได้ถูกต้มตุ๋น หรือ ถูกหลอกลวง" พยายามบอกกับตัวเองว่า "เราเรียนสูงขนาดนี้ มีความรู้ขนาดนี้ จะมาเสียโง่ ได้อย่างไร?" นั่นคือ การสร้างกลไกทางจิตใจเป็นเกราะกำบังขึ้นมา อย่างทางจิตวิทยาเรียกว่า defense machanisms เพื่อปกป้องกับความรู้สึกอันแท้จริงที่ว่าเสียใจหรือชอกช้ำใจนั่นเอง
บางทีเราต้องยอมรับว่า มันเป็นไปได้และเกิดขึ้นแล้ว เหมือนกับความรัก
ความรักทำให้คนตาบอด อะไรก็ตามที่คนรักพูด ก็เชื่อว่าเป็นจริงได้หมด เพราะหัวใจบอกไว้ก่อน เรื่องเหตุผลตามมาทีหลัง
กว่า จะรู้ว่า คนที่เราเคยรักนั้น เขาหรือเธอทำตัวแท้จริงอย่างไร เมื่อเราทำตัวเป็นกลาง ไม่นำเอาความรักมาเป็นปัจจัย เมฆหมอกที่เคยปกคลุมสายตาให้พร่ามัวเริ่มเจือจางลง เราจะได้เห็นหรือยอมรับรู้กับเหตุผลที่ดีขึ้นว่าอะไรเป็นอะไร ภาษาอังกฤษกล่าวว่า เปลี่ยนจาก Subjective (เอาความคิดตนเองเป็นหลัก) มาเป็น Objective (เอาเรื่องจุดประสงค์หรือเหตุผลเป็นหลัก) แทน
สมัย นี้ โลกการสื่อสารต่างๆ เป็นเรื่องที่ไร้พรมแดน การพูดอะไรหรือให้สัมภาษณ์จากตัวแทนพรรคการเมือง โดยเฉพาะที่อยู่ในตำแหน่งระดับสูง เป็นเรื่องที่่สามารถเอามาอ้างอิงได้ในการเลือกตั้งคราวต่อๆ ไป
และเป็นเรื่องที่สามารถนำมา "สังหารตัวเอง" ในการเลือกตั้งครั้งหน้า เพราะเป็นแบบ "ปลาหมอตายเพราะปาก" จริงๆ เนื่องจากมีการบันทึกทุกอย่างแล้วว่า เคยพูดอะไรไว้, เมื่อไร, ที่ไหน ย้อนหลังไปได้เท่าไร ไม่ลืมกันง่ายๆ หรอก (ตัวอย่างเช่น อภิสิทธิ์พูดว่า คนๆ เดียว หรือ หนึ่งแสนคน... คงไม่มีใครลืมกัน..)
และ อีกอย่างหนึ่งคือ การพูดออกมาหรือประกาศตัวตนออกมาว่า มันเป็นนโยบายของพรรคที่จะไม่ทำอย่างนู้นอย่างนี้ แถมไปด่ากราดกระทบผู้คนที่เขาเสนอความคิดเห็นอีกรูปแบบหนึ่ง (ในระบอบประชาธิปไตย) มันไม่ได้กระทบอยู่กับประเทศไทยแต่เพียงประเทศเดียว
สังคม ในศตวรรษที่ 21 เป็นสังคมโลก ข่าวต่างๆ ที่พวกนี้ พูดออกมา มีการแปลความหมายและคำพูดออกไปทั่วทุกมุมโลกว่านโยบายตนเองเป็นอย่างไร คำกล่าวและการกระทำของรัฐบาลจะมากลับกลอกหลอกลวงกับประชาคมโลกไม่ได้
ที่กล่าวมาแล้ว ทำให้ดิฉันมั่นใจว่า เรื่องการเล่นเกมส์ต่างๆ รวมไปถึง เรื่องลับลวงพราง โดยทางรัฐบาลฝ่ายพรรคเพื่อไทยนั้น เป็นเรื่องของการปลอบใจต่อบุคคลที่มีศรัทธาต่อพรรคที่ตนเองชื่นชอบ เพราะมันเป็นไปไม่ได้โดยเด็ดขาด
การให้สัมภาษณ์จากผู้คนในระดับสูงของรัฐบาลนั้น จะมาพูดเล่นๆ ลวงหลอกกันไม่ได้ค่ะ
และอยากถาม ท่านทั้งหลายว่า ครั้ง สุดท้ายที่ท่านเห็น พรรคการเมือง ออกมาเล่นเกมส์ ลับลวงพราง เพื่อช่วยเหลือประชาชนจริงๆ ครั้งสุดท้ายน่ะ มันเกิดเมื่อไร? ขอยกตัวอย่างให้ทราบด้วย เพราะดิฉันจำไม่ได้ค่ะ
เรื่อง การเล่นลับลวงพราง เป็นการทำให้ทางฝ่ายรัฐบาลเอง ต้องเสียเครดิทและความน่าเชื่อถือเป็นอย่างมาก รวมทั้งถูกประชาชนตำหนิในสายตาทั่วทุกมุมโลกโดยเฉพาะกับทางการเมืองระหว่าง ประเทศ ไม่ใช่เพียงแต่ประเทศไทยเท่านั้น
การที่ฝ่ายรัฐบาลจะ ปฎิบัติอะไรก็ตามแต่ ต้องเป็นตามที่กล่าวและยืนยันไว้ ไม่อย่างนั้น จะถูกตราหน้าว่า ปลิ้นปลอกหลอกลวง เพราะไม่มีประเทศไหนเขาทำกัน
ในขณะนี้ สื่อต่างประเทศทั่วโลก ได้รายงานถึงจุดยืนของรัฐบาลไทย ในเรื่องการปฎิเสธการแก้ไขกฎหมายเพื่อสิทธิมนุษยชน ลองไป search ดูใน Googleได้ว่า เขารายงานในลักษณะไหนกัน หรือว่า ไมต้องแคร์ก็ได้ เพราะพวกนี้ ไม่รู้ดีในเรื่อง "ความเป็นไทย" เหมือนกับที่ทางฝ่ายอนุรักษ์นิยมหลายๆ ท่านได้กล่าวถึง
จุดยืนเหล่า นี้ จะนำการเปลี่ยนแปลงมาสู่วิถีทางการเมืองของประเทศไทย โดยเฉพาะทางพรรคเพื่อไทยเองว่า ตัวพรรคจะพยายามฉุดและดึงประชาชนให้อยู่กับตนเองหรือเปล่า เพราะประชาชนมีแนวคิดที่ล้ำหน้าไปมากกว่านั้นแล้ว
บทเรียนคือ ถ้าตนเองไม่ยอมก้าวล้ำหน้าเข้ามาสู่กระแสโลกาภิวัฒน์ ส่วนหนึ่งของประชาชนที่สนับสนุนหรือเคยสนับสนุนก็คงจะต้องเดินทางไปกันเอง หรือไม่ก็หาขบวนรถไฟที่มีประสิทธิภาพเหมาะสมกับสภาวการณ์ของเขา
ประชาชน ที่มีความคิดแบบแนวก้าวหน้าสามารถเกิดขึ้นได้ภายใน 2 ปีที่ผ่านมา มันมีโอกาสเป็นไปได้สูงมากที่จะมีการตั้งกลุ่มหรือพรรคของประชาชนที่ยึดถือ นโยบายในรูปแบบโลกาภิวัฒน์เกิดขึ้น ภายในระยะเวลาไม่เกิน 2 ปีข้างหน้าเป็นอย่างช้าที่สุด (ตัวดิฉันเอง คาดว่า จะเกิดการก่อตัวจัดตั้งพรรคการเมืองแนวที่สามภายในหรือภายนอกประเทศไทยอย่าง แน่นอนค่ะ)
----------------------------------------------------
ดิฉันขอกล่าวไว้ ณ ที่นี้ก่อนเลยว่า การ หาเสียงเลือกตั้งคราวหน้าและในคราวต่อๆ ไป จะใช้ระบบ Online และ Social Networks มากขึ้นในการเข้าถึงประชาชนผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้ง การ หาเสียงของพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม สามารถแสดงให้ประชาชนเห็นทันทีเลยว่า ตัวแทนของรัฐบาลเคยพูดและกล่าวอะไรไว้บ้างในแง่ลบ ด้วยการ Replay จากคลิปต่างๆ ได้ตลอด การโจมตีด้วยคำพูดที่ตนเองเคยกล่าวไว้ มีประสิทธิภาพมาก เพราะเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงจุดอ่อนที่อีกฝ่ายสามารถนำมาใช้เพื่อสร้างความ ได้เปรียบ
การสร้างเวปไซค์ออนไลน์โดยพรรคการเมืองแบบแนวที่สาม สามารถขึ้นมาต่อสู้กับพรรคการเมืองใหญ่ๆ ได้ทุกเรื่อง ถึงแม้ว่าเงินทุนจะน้อยกว่าก็ตาม เพราะระดับ web นั้น มีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกันหมด
พรรค การเมือง แบบแนวที่สามไม่ต้องไปจัดคอนเสริ์ทหรือปรากฎตัวกับประชาชนในที่สาธารณะอย่าง บ่อยครั้ง สามารถตอบคำถามที่ประชาชนส่งให้ทางออนไลน์ได้หมด จะทำแบบ Town Hall Meetings ได้ทันที เพียงแต่นัดกันว่า จะพบกับประชาชนเมื่อไร สามารถ phone-in และเชิญวิทยากรผู้มีความรู้ความสามารถมาร่วมรายการได้เช่นเดียวกัน
การบริจาคเงินช่วยเหลือสามารถทำได้ ในรูปแบบของการโอนเงินเข้าบัญชีธนาคาร แม้กระทั่ง PayPal ซึ่งใช้กันอยู่ทั่วทุกมุมโลก
นอกไปจากนั้น ประชาชนสามารถส่งหรือถามคำถามผู้สมัครเกี่ยวกับนโยบายหลักของพรรคตนเองที่ทำ สัญญาไว้กับประชาชน โดยใช้ระบบ instant message (chat) หรือ SMS แบบ Skype / Window Messenger ไม่ต้องออกไปไหนมาไหน ผจญกับปัญหารถติดหรือเสียเวลา จะไปหาเพื่อนๆ แล้วรับฟังรับชมด้วยกันที่บ้านก็ได้ หรือแม้แต่จะบริจาคเงินก็ทำได้ทุกอย่าง จาก SmartPhone นี่เอง จะอยู่ต่างจังหวัดก็ไม่เป็นปัญหา เพราะสามารถร่วมการแสดงความคิดเห็นได้ เพราะทุกอย่างเป็นแบบ Virtual Meeting หรือการพบปะกันออนไลน์ ท่านจะอยู่ที่กรุงเทพฯ, อุบลราชธานี, ประเทศเยอรมัน, ประเทศในทวีปยุโรป, อัฟริกา, ประเทศบราซิล หรือ ประเทศออสเตรเลีย มีค่าเท่าเทียมกันทั้งหมดในสังคม Virtual Online Meeting
(อย่าคิดว่า ประชาชนที่อยู่นอกกรุงเทพฯ จะใช้ไม่เป็นนะคะ นั่นคือความประมาทอันแท้จริงเพราะท่านไม่ได้สำรวจอะไรเลย)
เมื่อ ประชาชนมีความเป็นส่วนตัว ไม่ต้องออกไปแสดงให้คนทราบว่า ตนเองสังกัดพรรคไหน (เพื่อความปลอดภัยของตนเอง), กำลังคิดอะไรอยู่ หรือ จะเลือกพรรคไหนดี เป็นเรื่องที่น่ากลัวมากสำหรับพรรคการเมืองที่ชอบหว่านเงินซื้อเสียงหรือ พรรคใหญ่โตของฝ่ายอำมาตย์ (แม้กระทั่งพรรคเพื่อไทยเอง ก็ควรจะ "หนาว" ด้วย) เพราะเรื่องนี้ คือ "คลื่นใต้น้ำ" อันแท้จริงที่ทุกๆ ฝ่ายไม่สามารถคาดคะเนได้ว่า จิตใจของประชาชน กำลังจะกาหรือลงคะแนนให้กับพรรคการเมืองใดบ้าง
ความปลอดภัยกับชีวิต และทรัพย์สินของตัวผู้สมัครย่อมมีมากขึ้น อาจจะออกไปปราศรัยอย่างพอสมควร แต่สามารถใช้ระบบ online และ virtual meeting นี้เข้าถึงประชาชนได้มากขึ้นโดยตรง
เรื่องจะเอาเงินมาหว่านหรือพูดจากล่อมผู้คนคงจะยากในการเลือกตั้งคราวหน้า และ คราวต่อๆ ไปในอนาคต
อย่าลืมว่า เมื่อปีที่แล้ว มีสำนวน "รับเงินหมา กาเบอร์หนึ่ง" บางทีคำกล่าวแบบนี้ อาจจะย้อนกลับเข้ามาหาพรรคตัวเองได้เหมือนกัน....
และ ในปัจจุบัน ประชาชน 99% เขาได้เลือกข้างไปเรียบร้อยแล้วว่า เขาอยู่ฝ่ายไหน สีไหน ฐานเสียงไม่เปลี่ยนแปลงแน่ ถ้ายังมีการสาดโคลนโจมตีตัวบุคคลกันอยู่ แทนที่จะเสนอนโยบายแบบสร้างสรรค์ ประชาชนก็คงจะเอือมระอาที่จะลงคะแนนให้
เพราะ คะแนนเสียงลงไป ไม่สามารถแก้ไขอะไรจริงๆ จังๆ ได้ ถ้าต้องการเปลี่ยนคะแนนเสียงจากฐานเสียงเดิม คุณจะต้องใช้นโยบายสร้างสรรค์ว่า คุณสามารถทำประโยชน์อะไรให้กับประชาชนเขาได้บ้าง นโยบายคุณเป็นอย่างไร แทนที่จะไปประชดว่า "ไอ้พรรคนี้มันรับเงินนายใหญ่จากที่่นั่นที่นี่" ถ้าเป็นจริง คุณก็น่าจะยื่นเรื่องฟ้อง แต่ถ้าไม่เป็นจริง คุณก็ไม่ได้สร้างอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอันกับประชาชนเขาได้เลย...
สำหรับ ตอนนี้ มันอยู่ที่ตัวของท่านเองว่า ท่านมีความเชื่อมั่นในขบวนรถไฟสายนี้ขนาดไหน หรือว่า น่าจะลองขึ้นขบวนรถไฟที่สนับสนุนการดำเนินการของทางฝ่ายนิติราษฎร์เขาบ้าง เพราะขบวนที่ท่านโดยสารอยู่ในขณะนี้ มันดูเหมือนกับว่า เขาไม่ต้องการจอดส่งผู้โดยสารที่สถานีจังหวัดเชียงใหม่ แต่กำลังพาท่านไปสู่จุดหมายอันแท้จริงซึ่งอยู่ประมาณ 4 กิโลเมตรเศษๆ จากวัดพระธาตุดอยสุเทพฯ ต่างหาก....