ที่ จริงผมคิดหนักในการเขียนเรื่องนี้ เพราะมันจะเป็นการ เปิดโปง เพื่อนร่วมอาชีพ อาชีพทนายความ..ซึ่งมีภาพพจน์ไม่ค่อยดีในสายตาคนทั่วไปอยู่แล้ว ทั้งยังดูเหมือนการยกยอตนเอง แต่จากการคุยกับรุ่นพี่คนหนึ่ง ก็ได้ความคิดว่า สาธารณชนควรได้รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นเกมการเมือง คำนี้ไม่ได้หมายถึงการเมืองในสภา หรือการเมืองตามที่เข้าใจกันทั่วไป หากแต่เป็นเกมการ แย่งชิงอำนาจ อันที่จริงผมเคยอ่านพ๊อตเก๊ตบุ๊ค ชื่อนี้ตั้งแต่ 20 กว่าปีก่อน เป็นเรื่องราวการแข่งขันกันในองค์กร ซึ่งไม่ได้จำกัดว่า เป็นการแข่งขันแย่งชิงอำนาจรัฐเท่านั้น หากแต่มีในทุกองค์กร ทุกบริษัท ยิ่งองค์กรใหญ่ เกมการเมืองก็ยิ่งเข้มข้น ดูเหมือนหนังสือเล่มนั่น แปลมาจากภาษาอังกฤษ
ก่อนหน้านั้น..ไม่แน่ใจว่าผมอยู่มัธยมปลาย หรือเข้าธรรมศาสตร์แล้ว มีหนังเรื่อง Power Game เข้ามาฉายในเมืองไทย เป็นเรื่องในประเทศสมมุติทางตะวันตก กล่าวถึงความเป็นเผด็จการของรัฐบาล ประชาชนกดดัน ทหาร ที่ยอมอยู่ใต้รัฐบาล จนนายทหารคนหนึ่ง ได้รวบรวมนายหทาร(ที่คุมกำลังเช่นกัน) ทำการยึดอำนาจรัฐ แต่สุดท้าย ณ เวลาที่ยึดอำนาจสำเร็จ ก็ถูกนายทหารเพื่อนร่วมก่อการ ชิงควบคุมตัวผู้นำทหารในการก่อการครั้งนั้นทั้งหมด ฉากจบของเรื่องนี้ เป็นการออกแถลงข่าวของนายทหารที่หักหลังเพื่อน พร้อมกับการนำตัว ผู้นำทหารในการก่อการรัฐประหาร คนอื่นๆ..ทุกคน..โดยเฉพาะทหารคนที่เป็นหัวหน้า ต้นคิดก่อการไปยิงเป้า
ถ้าจะให้คำจำกัดความ เกมการเมือง คงตรงกับ Power Game
ในเกมการเมือง ไม่มีกติกา ไม่จำกัดวิธีการ
หลัง สลายการชุมนุมเมื่อปีที่แล้ว สภาพของคนเสื้อแดงแตกกระเจิง ในขณะที่แกนนำ นปช.ต่างเข้ามอบตัว..บางคนก็หลบหนี บรรดานักการเมืองพรรคเพื่อไทย ต่างหลบฉาก เก็บตัวเงียบ ในขณะที่ฝ่ายอำนาจรัฐ ไล่ล่าผู้เข้าร่วมชุมนุม โดยเฉพาะแกนนำมวลชน สถานการณ์ตอนนั้นจึงเป็นลักษณะ ตัวใครตัวมันตอนนั้นมีกลุ่มนักเคลื่อนไหวกลุ่มหนึ่ง ได้รวมตัวกันก่อตั้ง ศปช.(ผมจำชื่อเต็มไม่ได้) ได้ลงพื้นที่ไปรวบรวมข้อมูล ผลกระทบ จากการสลายการชุมนุม และได้พบการ ดำเนินคดีกับผู้ชุมนุม จึงได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ของ กสม.คนหนึ่ง จัดหาทนายความเข้าทำคดีให้ และได้ชวนผมเข้าร่วมทำคดีด้วย
ที่อุบล จากที่ตอนแรกพวกนักการเมืองพากันหลบฉากไปหนด ได้หันกลับมา แย่งชิง คดี กลับไปให้ทนายความของพวกเขาเป็นคนทำ ผ่านทางทนายความท้องถิ่น ได้เริ่มต้นด้วยการตกลงกับทนายส่วนกลาง(ทนายจาก ศปช.ร่วมกับ จนท.กสม.คนหนึ่ง) ให้แบ่งผู้ต้องหา หรือจำเลยรับผิดชอบกันในแต่ละคดี...แต่ละคดีจะมีจำเลยหลายคน นั่นหมายควมว่า..แต่ละคดีจะมีทนายความ 2 กลุ่มทำคดีร่วมกัน ทนายจากส่วนกลาง และทนายท้องถิน..ของนักการเมือง แต่แล้วทนายท้องถิ่นก็ กลับคำ จะเอาไปรับผิดชอบเองทั้งหมด
แต่ในตอนนั้น..ขณะที่ผมเข้าไปในคดีเผาศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานี มีจำเลย 2 คนยังคงยืนยันให้ผมทำคดีให้เขา ซึ่งเป็นเพียง 2 คนสุดท้าย ที่เหลืออยู่ให้ทนายส่วนกลางทำคดีให้
กับอีกคดีที่เหลือให้ผม ทำ เป็นคดี เผายางรถยนต์ หน้าสถานีโทรทัศน์ NBT ที่เหลือคดีนี้เพราะแกนนำมวลชนคนหนึ่ง..ซึ่งเป็นคนติดต่อกับส่วนกลาง และถูกฟ้องร่วมด้วย ยืนยันให้ผมทำคดีให้เขา
เกี่ยวกับคดีอาญา..ต้องขออธิบายไว้นิด ก่อนเริ่มสืบพยาน มีกระบวนการนัดตรวจพยานหลักฐาน ขั้นตอนนี้มีประโยชน์กับฝ่ายจำเลย เพราะได้ดูพยานเอกสารและพยานวัตถุ ของโจทก์ก่อน รวมทั้งขอถ่ายสำเนาได้ด้วย แต่ไม่ใช่ขั้นตอนบังคับ ถึงศาลอาญาจะนัดตรวจพยานหลักฐาน ทุกคดี ก็เถอะ แต่ศาลจังหวัดอุบลราชธานีกลับไม่รักษาสิทธินี้ให้กับฝ่ายจำเลย โดยข้ามขั้นตอนไปนัดสืบพยานโจทก์เลย ในเมื่อเป็นสิทธิของจำเลย เมื่อศาลไม่สั่งนัดเอง ทนายจำเลยก็ยื่นคำร้องขอให้ศาลนัดตรวจพยานหลักฐานได้ หากแต่ทนายท้องถิ่น ไม่ทำ ผมจึงยื่นคำร้องขอตรวจพยานหลักฐานในฐานะ ทนายความของจำเลย 2 คน ศาลจังหวัดอุบลราชธานี จึงได้สั่งให้นัดตรวจพยานหลักฐานทั้งคดี...จำเลยคนอื่นได้ประโยชน์จากตรงนี้ ด้วย
แต่แล้ว..ก่อนวันนัดตรวจพยานหลักฐานไม่กี่วัน ผมก็ได้รับหมายแจ้งจากศาลจังหวัดอุบลราชธานี ว่าลูกความผม 2 คนนั้น ถอนผมออกจากการเป็นทนายความของเขา และศาลจังหวัดอุบลราชธานีก็สั่งอนุญาตให้ถอนทนายแล้วด้วย..เป็นอันจบงาน
การถูกถอนทนาย ไม่ได้เหนือความคาดหมายผม เพราะก่อนหน้านั้น ก็มีความพยายามล็อบบี้ให้ใช้ทนายความท้องถิ่นของนักการเมือง จากแกนนำมวลชนคนหนึ่ง...ถูกฟ้องร่วมด้วยเกือบทุกคดี และการถอนผมออกจากทนายคดีนี้ ก็เป็นผลจากการล็อบบี้ของเขา
ในส่วนการทำคดีของ ทนายความท้องถิ่น พวกเขาแนะนำให้จำเลยทุกคน ทุกคดี..รับสารภาพ อืม..อยากทำคดี แต่ไม่คิดจะสู้
รวมทั้งคดีเผายางรถยนต์ หน้า NBT ทนายท้องถิ่นก็แนะนำให้รับสารภาพ และจำเลย 3 คนก็ยอมรับสารภาพ เหลือเพียงจำเลยที่ 2 ก็แกนนำที่ล็อบบี้ให้คนอื่นๆใช้ทนายท้องถิ่นนี่แหละ..แต่คดีนี้เขาใช้ ทนายความจาก สมุทรปราการ กับจำเลยที่ 1 ลูกความผม ที่ยังสู้คดี...อันที่จริง 2 คนนี้ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ด้วย สุดท้าย...ศาลจังหวัดอุบลราชธานีก็พิพากษายกฟ้องจำเลย 2 คนที่สู้คดีนี้
0 0 0 0 0
ตอนที่ 2
ก่อน อื่นขอแก้คำผิดในตอนที่แล้ว ที่จริงลูกความผมเป็นจำเลยที่ 1 ในคดีเผายางรถยนต์หน้า NBT ส่วนแกนนำคนนั้น เป็นจำเลยที่ 2 ผมพิมพ์สลับคนกันเองครับในคดีนี้ แง่หนึ่งเหมือนการว่าความให้ทนายท้องถิ่นดู ก่อนเริ่มการสืบพยานในคดี เผาศาลาการจังหวัดอุบลราชธานี ทั้งนี้เนื่องจากจำเลยอื่นอีก 3 คนรับสารภาพ ทนายของจำเลยทั้ง 3 คนนั้นจึง...นั่งดูเฉยๆ ซึ่งว่าที่จริงแล้ว แม้ลูกความของเขาจะรับสารภาพ แต่หากการสืบพยานของโจทก์ ไม่สามารถพิสูจน์ว่าลูกความเขาผิด จำเลยคนที่รับสารภาพก็จะได้รับประโยชน์ด้วยการยกฟ้องเช่นกัน โดยมากในคดีอาญา เมื่อจำเลยรับสารภาพแล้ว ศาลก็ไม่อยากให้ทนายจำเลยถามค้านพยานโจทก์ และกฎหมายก็ไม่ได้ห้ามที่จำเลย(แม้จะรับสารภาพ)จะขอสืบพยาน โดยเฉพาะ..การอ้างตนเองเป็นพยาน
แต่หากทนายจำเลยจะใช้สิทธินี้ ก็อาจต้องงัดข้อกับศาล เพราะทั้งการถามค้านพยานโจทก์ และการสืบพยานจำเลยต่างก็ทำให้ศาลต้องทำงาน..มากขึ้น ซึ่งทนายความส่วนใหญ่(แทบทั้งหมด)ก็เลือกที่จะอยู่เฉยๆ อย่างมากก็เขียนคำแถลงการณ์ประกอบการ รับสารภาพ เพื่อขอความเมตตากรุณา จากศาล
ในการว่าความคดีนี้..เผายางรถยนต์หน้า NBT ความที่ผมเป็นทนายจำเลยที่ 1 จึงได้ถามค้านพยานโจทก์เป็นคนแรก ซึ่งพยานเอกสารต่างๆที่ได้ดู(โดยเฉพาะรูปถ่าย) และถ่ายสำเนามาจากการนัดตรวจพยานหลักฐาน ก็ได้ให้ประโยชน์ในการนี้ ได้ชี้ให้เห็นถึงความไม่น่าเชื่อของคำให้การพยานโจทก์ จากการเบิกความว่า จำเลยที่ 1 ไปร่วมชุมนุมก่อนเผายางด้วย แต่ไม่มีในภาพถ่ายของโจทก์ ไหนยังจะคลิปที่ลูกความผม..จำเลยที่ 1 หามา ก็ได้ความขัดแย้งในพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบอีก ความที่ผมถามค้านพยานโจทก์เป็นคนแรก ประกอบกับไม่เคยรู้จักทนายจำเลยที่ 2 มาก่อน..ไม่เคยเห็นการถามค้านของเขา จึงได้ถามเลยเทิดไปในประเด็นต่อสู้ของจำเลยที่ 2 จนโดนศาลแซว...เลือกไว้ให้ทนายจำเลยที่ 2 ถามบ้าง
ในส่วนคดีเผาศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานี(อันที่จริงไม่ใช่คดีนี้คดีเดียว แต่มีหลายคดี เป็นคดีเผายางรถยนต์ที่อื่น อย่างหน้าพรรค ปชป. ฯลฯ) ก่อนหน้าที่ผมจะถูกถอนทนาย แกนนำซึ่งเป็นคนติดต่อส่วนกลาง ได้พยายามติดต่อไปยังพรรคเพื่อไทย..ในกรุงเทพฯ แต่ก็ไม่มีผลต่อนักการเมืองท้องถิ่น..สส.อุบลของพรรค ทุกครั้งที่มีการขึ้นศาลตามนัด บรรดาญาติของจำเลยก็จะแห่กันมา และ สส.ก็จะจัดการต้อนรับเลี้ยงข้าว พูดปราศรัย และที่ขาดไม่ได้ คือ แจกเงิน คนละ 200 บ้าง 500 บ้าง เมื่อประสานกับการล็อบบี้ของแกนนำที่อยู่ในคุก ผลก็คือ จำเลยทุกคน..ทุกคดี หันไปให้ทนายท้องถิ่น..ของ สส. ทำคดีให้ทั้งหมด
ในส่วนคดีอื่นๆ ผมไม่ทราบรายละเอียดมากนัก แต่ได้ยินว่า ทนายท้องถิ่นแนะนำให้ รับสารภาพ ทั้งหมด และผลที่ตามมาของการรับสารภาพ..จริงอยู่ กลุ่มคดีนี้ศาลจังหวัดอุบลรอลงอาญาทั้งหมด(ยกเว้นคดีเผาศาลากลางจังหวัด คดีเดียว) แต่..ศาลได้สั่งให้ ริบ รถปิคอัพ ที่ใช้ขนยางรถยนต์ เข้าเป็นของรัฐด้วย รถปิคอัพ ที่เป็น เครื่องมือทำมาหากิน เป็นคำสั่งริบที่เจ้าของรถไม่รู้ล่วงหน้ามาก่อน...นี่เป็นสิ่งที่ ทนายความของเขา..ทนายความที่แนะนำให้เขา รับสารภาพ ไม่ได้บอกเขาก่อน ในเรื่องนี้ ลูกความผม(ในคดีเผายางหน้า MBT) ก็ได้มาปรึกษาผมด้วยความสงสารเขาเหมือนกัน แต่การแก้ปัญหานี้หลังศาลพิพากษา เป็นเรื่องยากมาก ทั้งการที่ผมไม่ได้เป็นทนายความเขา...ไม่ใช่คนที่พวกเขาเชื่อถือ ก็ไม่สามารถทำอะไรได้
กล่าวสำหรับคดี เผาศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานี
จากการที่ผมเคยได้รับการแต่งตั้งเป็นทนายความในช่วงแรก ทำให้ได้รับรู้ข้อมูลในคดีนี้จากจำเลยคนหนึ่ง..เขาเล่าให้ฟังด้วยความอึดอัด พร้อมทั้งบ่นว่า...ไม่มีใครถามเขาเลยว่า "เรื่องเป็นอย่างไร" แม้แต่ทนายท้องถิ่นที่เป็นทนายของเขาก็..ไม่ถาม
เหตุการณ์ในวันนั้น..19 พฤษภาคม 2553 วันที่มีการ "ล้อมฆ่า" ในกรุงเทพฯ มีการชุมนุมกันหน้าศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานี แต่จำนวนคนไม่มากนัก ไม่น่าจะถึงร้อยคน ตอนแรกก็ชุมนุมกันอยู่นอกรั้ว โดยมีตำรวจตั้งแถวอยู่ข้างในรั้ว กลุ่มผู้ชุมนุมได้เรียกร้องให้เคลื่อนย้ายตำรวจออกไป ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบล...ซึ่งอยู่ที่นั้นด้วย ก็ได้สั่งให้ตำรวจออกไป แต่หลังแนวตำรวจ กลับมีทหารพร้อมอาวุธตั้งแถวอยู่..รวมจำนวนแล้ว ทั้งทหารและตำรวจมีจำนวน มากกว่าผู้ชุมนุม จากนั้นได้มีการยั่วยุจนผู้ชุมนุมพังรั้วเข้าไป..ได้ความอีกว่า รั้วของศาลากลางเก่ามากแล้ว แค่โยกก็ล้ม นอกจากนี้..ยังมีรถดับเพลิงจอดอยู่ข้างศาลากลาง 1 คัน
พอผู้ชุมนุมผ่านรั้วเข้ามาในบริเวณหน้าศาลากลาง ได้มีเสียงปืนดังขึ้น 2 นัด มีผู้ชุมนุมล้มลง 2 คน...2 คนนี้คือคนที่ยืนยันให้ผมทำคดีนี้ และถอนทนายผมทีหลัง หลังจากนำคนทั้งคู่ส่งโรงพยาบาลได้สักพัก ก็มีข่าวมาว่า คนทั้งคู่ตายแล้ว เมื่อมีคนกระจายข่าวนี้ แน่นอนว่าย่อมสร้างความโกรธแค้นให้กับผู้ชุมนุม ได้มีบางคนในกลุ่มผู้ชุมนุมเรียกร้องให้..จุดไฟเผา พร้อมทั้งมีการเรี่ยไรเงิน ซื้อน้ำมัน จากนั้นได้จุดไฟน้ำมันที่อยู่ในขวด โยนเข้าไปในพื้นชั้นล่างด้านซ้ายของตัวอาคาร..เป็นไฟกองเล็กๆ แต่ในขณะที่พื้นชั้นล่างติดไฟจากน้ำมันนั่นเอง ได้มีควันไฟลอยออกมาจากหลังคาชั้น 2 ของอาคารและได้เผาอาคารศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานี จนเหลือแต่ซาก
ในเหตุการณ์เช่นนี้ มีคำถามมากมาย
- ควันไฟบนหลังคาชั้น 2 มาจากไหน
- ทำไมตำรวจ ทหาร ซึ่งมีจำนวนมากกว่าผู้ชุมนุม จึงไม่ห้ามผู้ชุมนุม
- ทำไมรถดับเพลิงที่จอดอยู่ข้างอาคาร ไม่เข้ามาดับไฟ
- ทำไมวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 ซึ่งเป็นพุธ จึงไม่มีใครมาทำงานที่อาคารนี้เลย
- ทำไมถึงได้มีการขนย้ายเอกสารต่างๆออกไปหมดก่อนหน้านั้น
- ทำไมผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ด้วย จึงไม่สั่งให้ทำอะไรเพื่อยุติเหตุการณ์นี้
คำตอบที่ผมนึกออก...
- เพราะคนสั่งการให้เผาศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานี คือ ผู้(เซ็นเซอร์) ทั้งยังเป็นการวางแผน เผา ทีเตรียมการล่วงหน้าไว้แล้ว
- เพราะเตรียมจะเผาล่วงหน้า...ถึงได้สั่งให้ขนย้ายเอกสารออกไปก่อน
- เพราะเตรียมจะเผาล่วงหน้า...ถึงได้สั่งให้ข้าราชการหยุด ไม่มาทำงานในวันนั้น
- เพราะต้องการจะเผา...ถึงได้ไม่สั่งให้ห้ามปรามผู้ชุมนุม
- เพราะต้องการจะเผา...ถึงได้ห้ามไม่ให้รถดับเพลิงเข้าไปดับไฟ
- ควันไฟที่ลอยออกจากหลังคาชั้น 2 ของอาคาร...ย่อมเป็นควันจากกองไฟบนชั้น 2 ที่มีคนจุดขึ้น...ตามคำสั่งของผู้(เซ็นเซอร์)
กับอาคารที่ถูกเผา ไม่มีผลอะไรต่อหน่วยงานของรัฐมากนัก เพราะมีโครงการก่อสร้างอาคารหลังใหม่อยู่ก่อนแล้ว และหลังเหตุการณ์ ก็รีบเก็บกวาดซากที่เหลือ..เก็บกวาดก่อนวันนัดศาลด้วยซ้ำ
สำหรับจำเลย 2 คนที่ถอนผมจากการเป็นทนายคดีนี้ เขาไม่อยู่ในเหตุการณ์ขณะมีการเผา เพราะเป็นคนที่ถูกยิงที่ขา แต่กับคนอื่นล่ะ??
ในการเตรียมคดีนี้..ก่อนถูกถอนทนาย ผมได้ขอให้ลูกความผมในคดีเผายางรถยนต์หน้า NBT หาคลิปเหตุการณ์นี้ โดยเฉพาะคลิปที่เห็นควันไฟลอยออกมาจากหลังคา แต่เมื่อผมถูกถอนทนาย ผมก็ไม่ได้ตามเรื่องนี้อีก...ก็ไม่รู้ว่าเขาหาคลิปได้หรือเปล่า
การพูดถึงเรื่องนี้คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องพูดถึง การทำคดีอาญาของทนายจำเลย ซึ่งคงต้องไว้ตอนต่อไป..2 ตอนแล้ว ยังไปไม่ถึงคดี ดา ตอร์ปิโด แต่ผมคงต้องทยอยเขียนตามเวลาที่เอื้ออำนวย