สรรพสิ่งในโลกล้วนต้องเปลี่ยนแปลงไปตามกาลสมัย สิ่งที่อยู่ยืนยงคงทนที่สุดในโลก คือสิ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงมากที่สุด ปราสาทหินศิลาแลงที่เห็นยืนเด่นเป็นสง่าท้าทายกาลเวลาได้นับพันปี นั่นเพราะผ่านการตกแต่งบูรณะฟื้นฟูอยู่มิได้ขาด หาไม่แล้วปราสาทหินก็อาจจะกลายเป็นฝุ่นทรายในสายลมเมื่อชั่วเวลาผ่านไปไม่ นานนัก
ฉันใดก็ฉันนั้น สถาบันกษัตริย์ที่เราเห็นว่าอยู่คู่สังคมไทยมานานนับแต่ก่อตั้งประเทศก็ผ่าน การเปลี่ยนแปลงมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน จากมีอำนาจน้อยสู่ความมีอำนาจมาก จากมีอำนาจมากกลับสู่ความมีอำนาจน้อย จากสถานะของพ่อปกครองลูก สู่ความเป็นเทพแห่งชีวิต จนกลายเป็นศูนย์รวมแห่งจิตใจ จากที่เป็นทุกสิ่งทุกอย่างในรัฐสู่การเป็นส่วนหนึ่งของรัฐ จากการที่เป็นผู้กำหนดกฎหมายมากลายเป็นผู้อยู่ภายใต้กฎหมาย จากสมบูรณาญาสิทธิราช สู่กษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ นั่นผ่านกระบวนการเปลี่ยนแปลงและแรงเสียดทานจากความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยมา แล้วทั้งสิ้น
แล้วใย สังคมไทยจะยังไม่เคยชินกับการเปลี่ยนแปลงและการปรับตัวของสถาบันกษัตริย์อีก เล่า การที่มีคณะบุคคลที่เรียกตนเองว่า คณะนิติราษฎร์ และคณะรณรงค์แก้ไขมาตรา 112 (ของประมวลกฎหมายอาญา) เสนอให้แก้ไขกฎหมายเรื่องการหมิ่นพระมหากษัตริย์นั้น ก็เป็นหนึ่งในกระบวนการเล็กๆ ของสังคมที่จะผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและการปรับตัวของสถาบันกษัตริย์ ไม่มีใครสักคนในคณะดังกล่าวได้แถลงอย่างเปิดเผยว่า สิ่งที่ตัวเองทำนั้นมีวัตถุประสงค์เพื่อล้มล้างระบอบกษัตริย์ในประเทศไทย ตรงกันข้ามที่สิ่งเขากำลังทำอยู่นั่นคือ การปกป้องสถาบันกษัตริย์มิให้ถูกฉวยใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองของพวกคน พาลสันดานหยาบต่างหาก
ไม่มีใครเลยสักคนที่บอกว่า สถาบันกษัตริย์ องค์พระมหากษัตริย์ สมเด็จพระราชินี องค์รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในฐานะประมุขของรัฐ ไม่พึงต้องได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย ดูเหมือนหลายคนจะบอกว่า สถาบันและบุคคลในตำแหน่งเช่นว่านั้น สมควรได้รับการปกป้องคุ้มครองจากกฎหมายเหนือกว่าคนธรรมดาด้วยซ้ำไป
แรงบันดาลใจ ที่ก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวผลักดันให้เปลี่ยนแปลงกฎหมายนี้มาจากหลายประการ บ้างก็เกิดจากความเห็นอกเห็นใจต่อผู้ที่โดนผลกระทบของกฎหมายมาตรานี้อย่าง ไม่เป็นธรรม บ้างก็เพื่อทำให้กฎหมายได้มาตรฐานสากล แต่ที่ตรงกันอย่างหนึ่งแน่นอนคือ การแก้ไขกฎหมายมาตรา112 นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ไม่กลายเป็นเครื่องมือทาง การเมืองให้ใครฉวยใช้เพื่อประโยชน์ของตัวได้อย่างสะดวกอีกต่อไป และเป็นก้าวสำคัญที่นำมาไปสู่การแก้ไขกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อทำให้สถาบันกษัตริย์มีสถานะต้องด้วยยุคสมัยแห่ง ประชาธิปไตยที่ถูกต้องสมบูรณ์ การปฏิบัติต่อสถาบันกษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยราวกับยังอยู่ในยุคสมัย สมบูรณาญาสิทธิราชนั้นขัดกับความเป็นจริงของโลกอย่างยิ่ง และนั่นเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อตัวสถาบันเองด้วย
การเสนอเพื่อแยกตัวบทกฎหมายนี้ออกจากหมวดความมั่นคงก็ดี การเสนอให้ผู้ฟ้องร้องในคดีนี้จำกัดอยู่แต่เฉพาะบุคคลที่มีอำนาจหน้าที่อัน เกี่ยวเนื่องแต่สถาบันกษัตริย์และองค์พระประมุขโดยตรงเท่านั้นก็ดี เหล่านี้ล้วนทำให้กฎหมายนี้ถูกจัดวางอยู่ในที่ซึ่งเหมาะสมและเป็นหลักประกัน ว่าจะไม่ถูกใครก็ได้นำไปใช้อย่างพร่ำเพรื่อ
การเสนอให้ลดโทษและเปิดโอกาสให้ผู้ถูกกล่าวหาได้พิสูจน์ความจริง นั่นเป็นข้อเสนอสำคัญที่สุดที่จะทำให้สถาบันกษัตริย์อยู่ในฐานะอันเป็นที่ รักและเคารพสักการะบูชาได้สืบไป เพราะเหตุว่า การบังคับใช้กฎหมายอย่างรุนแรงและปิดกั้นผู้ถูกกล่าวหาไม่ให้ต่อสู้อย่าง เป็นธรรมได้นั้น สร้างความน่าสะพึงกลัวให้แก่ราษฎรทั้งหลายอย่างมาก ทำให้สถาบันกษัตริย์ซึ่งควรจะเป็นสิ่งอันเป็นที่รักกลายเป็นสิ่งที่น่ากลัว
พระมหากษัตริย์ของไทยส่วนใหญ่ตลอดระยะแห่งประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาได้พิสูจน์ โดยประจักษ์แล้วว่า การปกครองโดยการพระราชทานความรักความเมตตาแก่ผสกนิกรนั้นยังผลให้พระองค์เอง และสถาบันกษัตริย์ได้รับความรักและความซื่อสัตย์ภักดีเป็นการตอบแทนอย่างล้น พ้นหาที่เปรียบมิได้ กาลสมัยใดที่กษัตริย์ปกครองด้วยพระเดชมากกว่าพระคุณ กาลสมัยนั้นมักจะพบความกระด้างกระเดื่องในหมู่อาณาประชาราษฏร์ทั้งหลายเกิด ขึ้นไปทั่วทุกหัวระแหง
การแอบอ้างพระนาม พระเกียรติ พระยศ ของพระมหากษัตริย์ บังคับใช้กฎหมายอย่างไร้ความเป็นธรรม มุ่งประสงค์ก่อให้เกิดความยำเกรงหวาดหวั่นนั้นไม่อาจจะทำให้สถาบันกษัตริย์ กลายเป็นที่รักได้เลย ตรงกันข้ามหากกลายเป็นที่น่าหวาดกลัว การที่มีราษฏรถวายความจงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์และต่อองค์พระมหากษัตริย์ นั่นเป็นเพราะผลแห่งความรัก ความเมตตา มากกว่าจะเป็นผลสืบเนื่องมาจากความยำเกรงต่อกฎหมาย
องค์พระมหากษัตริย์ซึ่งกลายที่รักของพสกนิกรนั้นส่วนใหญ่แล้วมิเคยทรงถือสา หาความต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่อพระองค์เลย ตรงข้ามกลับทรงรับฟังและแสวงหาช่องทางที่จะรับฟังความเห็นจากราษฎรอยู่ เนืองๆ เพื่อให้ทรงทราบถึงพระเนตรพระกรรณว่า พสกนิกรรู้สึกนึกคิดอย่างไรต่อการปกครองของพระองค์ มหาราชาที่ยิ่งใหญ่ของไทยทุกพระองค์ล้วนทรงรับฟังความเห็นราษฎรทั้งสิ้น การวิพากษ์วิจารณ์หรือตำหนิติติงโดยสุจริตนั้น ยังประโยชน์มหาศาลต่อการปกครองยิ่งนัก และสิ่งเหล่านี้ไม่ควรเป็นความผิดตามกฎหมาย
พระมหาราชาผู้ยิ่งใหญ่ของไทยจำนวนมากทรงหาหนทางสารพัดอย่างที่จะหลีกหนีไป จากเสียงเพ็ดทูลอันประจบสอพลอของเหล่าขุนนางแวดล้อมเพื่อออกไปรับฟังความ เห็นของราษฎร บางพระองค์ถึงกับลงทุนปลอมแปลงพระวรกายไปปะปนกับสามัญชน ก็มีวัตถุประสงค์อย่างเดียวคือ ต้องการรับทราบเสียงหรือแม้แต่คำติฉินนินทาจากหมู่ราษฎรด้วยพระองค์เอง
พระมหากษัตริย์ในรัชกาลปัจจุบันถึงกับทรงต้องมีพระราชดำรัสด้วยพระองค์เอง เลยทีเดียวว่า การที่ราษฎรพากันแอบอ้างพระนามของพระองค์ไปฟ้องร้องคดีกันนั้น สร้างความเดือดร้อนให้กับพระองค์และสถาบันกษัตริย์อย่างมาก ใยจึงไม่มีผู้ใดน้อมรับใส่เกล้าใส่กระหม่อมเอามาไตร่ตรองดูว่า พระมหากษัตริย์จะทรงตรอมตรมพระทัยและเจ็บปวดเพียงใดหากราษฎรทั้งหลายฉวยเอา เรื่องของพระองค์ไปฟ้องร้องเป็นคดีความกัน การฟ้องร้องคดีความจำนวนไม่น้อยก็กระทำต่อศัตรูทางการเมืองของตนเองมากกว่า จะมีเจตนาปกป้องพระมหากษัตริย์จริงๆ ใยมิไตร่ตรองกันดูบ้างว่าการกระทำเช่นนี้ก่อให้เกิดความระคายเคืองต่อเบื้อง พระยุคลบาทเพียงใด เสื่อมเสียพระเกียรติยศเพียงใด ไม่นับว่าพวกฝรั่งต่างชาติจะติฉินนินทาว่าร้ายพระองค์เพียงใดว่าพระองค์ทรง จำกัดสิทธิเสรีภาพประชาชน
ความได้ปรากฎชัดอยู่เนืองๆว่า พระมหากษัตริย์ในรัชกาลปัจจุบันทรงพระราชอภัยโทษให้กับบุคคลที่ต้องคดีตาม กฏหมายนี้อย่างรวดเร็ว เมื่อมีการร้องขอหรือทรงทราบถึงพระเนตรพระกรรณ พระองค์จึงทรงเป็นกษัตริย์ผู้เป็นที่รักด้วยทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตา แต่จะให้พระองค์ต้องทรงมายุ่งเกี่ยวในคดีความแบบนี้ทุกคดีย่อมเป็นไปไม่ได้ สมควรที่สุดคือบรรดาข้าราชบริพารทั้งหลายตลอดจนราษฎรทั่วไปควรจะหาทางจำกัด คดีแบบนี้ให้น้อยที่สุดจะดีกว่า
การทำให้พระมหากษัตริย์เป็นที่รักจะจรรโลงสถาบันกษัตริย์ได้ยืนยาวกว่าทำให้ พระองค์กลายที่เกรงกลัว พระมหากษัตริย์จะเป็นที่รักกระไรได้ หากยังมีการฟ้องร้องในคดีหมิ่นฯพระองค์กันอย่างกว้างขวางเหมือนที่เกิดขึ้น ในเวลานี้ ไม่เว้นแม้แต่คนชราหรือเด็ก เยาวชนผู้ไม่รู้เดียงสา บุคคลผู้ตกเป็นจำเลยในคดีแบบนี้จะมีความรักให้พระมหากษัตริย์ได้อย่างไร ถ้าหากพวกเขาต้องถูกจองจำให้ได้รับความทุกข์ทรมานจากกฎหมายที่ได้ชื่อว่าทำ การปกป้องพระเกียรติพระยศของพระมหากษัตริย์
เจตนารมณ์ของกฎหมายอาญามาตรา 112 นั้นมุ่งควบคุมบุคคลเพียงกลุ่มเดียวเท่านั้นเอง คือ พวกปากพล่อยและมือบอน ที่อาจจะพูดจาหรือขีดเขียนข้อความดูหมิ่นดูแคลนพระมหากษัตริย์ ลำพังคนพวกนี้ไม่ใช่ภัยอันตรายอะไรต่อประเทศชาติหรือสถาบันอันที่เป็นรักของ คนทั้งชาติได้เลย ธรรมชาติคนปากพล่อยก็พูดจาเลื่อนเปื้อนไปวันๆ ก็ไม่เคยทำอันตรายต่อใครไปได้มากกว่านี้ คนที่ชอบพูดพล่อยๆส่วนใหญ่มักเป็นคนที่ไม่ค่อยได้รับความเชื่อถือจากสังคม การมุ่งลงโทษคนเหล่านี้อย่างเอาเป็นเอาตาย ก็เสมือนหนึ่งทำให้พระมหากษัตริย์ดูเสมือนไร้ซึ่งพระเมตตาต่อคนเหล่านี้ยิ่ง นัก
ดูก่อน นักปราชญ์ราชบัณฑิตทั้งหลาย ใยท่านเอาแต่ใส่ใคล้ ใส่ความ ใส่ร้าย ป้ายสี กลุ่มบุคคลผู้เสนอหนทางปกป้องสถาบันกษัตริย์อย่างเอาเป็นเอาตายอย่างนี้ ใยไม่ใช้สติปัญญาอันเฉียบแหลมของท่านนึกตรึกตรองสิ่งที่คณะบุคคลเหล่านี้ เสนอขึ้นมา ถกเถียงกันด้วยเหตุผลอันสมควรแก่เรื่องแก่เหตุ บางท่านเป็นถึงราชบัณฑิตใยยกเหตุผลราวกับแม่ค้าปากตลาดที่ไหนก็ไม่ปานมาด่า ว่า หาว่าเขาเนรคุณ ยกตนข่มท่านว่าเป็นผู้สนองเบื้องพระยุคลบาทได้ดีกว่าคนอื่น นี่หรือคือวิธีการโต้แย้งทางปัญญาของดุษฎีบัณฑิต ช่างต่ำช้าเสียนี่กระไร ในฐานะราชบัณฑิตท่านเองนั่นแหละที่มีหน้าที่และสมควรจะเป็นผู้นำเสนอวิธีการ และแนวทางอย่างที่คณะบุคคลเหล่านี้กำลังทำอยู่เพื่อเป็นการสนองคุณแผ่นดิน เกิด แต่เมื่อไร้สติปัญญาจะทำได้แทนที่จะรู้สึกละอายแก่ใจ กลับชี้หน้าด่าผู้อื่น นี่หาใช่วิธีการของบัณฑิตไม่
ปัญญาชนผู้อ้างว่ารักสถาบันกษัตริย์ยิ่งชีพทั้งหลายก็ดี ขุนทหารผู้พิทักษ์ราชบัลลังก์ก็ดี ใยพวกท่านไม่ใช้สติปัญญาอย่างที่วิญญูชนพึงกระทำ ใยท่านไม่อ่าน ไม่รับฟังด้วยจิตใจที่เปิดกว้างและเบิกบานเสียก่อนว่า คณะบุคคลเหล่านั้นกำลังเสนออะไร ใยท่านเอาแต่พร่ำเพ้อราวกับคนสติวิปลาสอยู่อย่างนั้นว่ามีคนจ้องล้มสถาบัน แก้ไขกฎหมาย 112 เท่ากับล้มเลิกสถาบัน ผู้บังอาจจะเสนอแก้ไขกฎหมายจะต้องมีความผิดตามกฎหมาย ให้ใช้รัฐธรรมนูญปิดปากพวกเขาเสีย ท่านผู้เจริญ รัฐธรรมนูญมีไว้ประกันสิทธิเสรีภาพมิใช่หรือ ? ใยท่านเสนอให้ใช้ปิดปากคนได้ ท่านไม่ได้ยินได้ฟังสิ่งที่คนอื่นพูดเลย สิ่งที่ท่านพูดออกมามันคือสิ่งที่ก้องอยู่แต่ในหัวของตัวท่านเอง มันเป็นแค่อาการหลอนทางจิตประสาทอย่างหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องจริง หากเปิดใจให้กว้างแล้วจะรู้ว่าเรื่องจริงเป็นอย่างไร เพื่อว่าบางคนก็จะได้ไม่เลอะเทอะถึงขั้นจินตนาการไปว่ามีฝรั่งต่างชาติสนับ สนุนให้แก้กฎหมายนี้ด้วยหวังจะฮุบบ่อน้ำมันในประเทศไทย ท่านผู้ประเสริฐ ไม่เพียงเรื่องนี้ดูไม่มีความเกี่ยวข้องกันเอาเสียเลย หากแต่ประเทศไทยไม่ได้มีน้ำมันมากมายพอจะให้ใครมาฮุบได้ เรามีบ่อแก๊สบ่อน้ำไม่พอจะเอาสำลีชุบให้เปียกได้ด้วยซ้ำ ลำพังจะใช้ในประเทศยังไม่พอเพียง ท่านยังคิดได้อย่างไรว่ามีใครจ้องล้มล้างระบอบกษัตริย์เพราะอยากได้บ่อ น้ำมันของเรา ขอพระเจ้าและพระศาสดาในทุกศาสนาจงประทานสติปัญญาแก่บุคคลเหล่านี้ด้วยเถิด อย่าให้พวกเขาต้องระทมทุกข์อยู่กับความเพ้อเจ้อแบบนี้นานนักเลย
ท่านทั้งหลายโปรดพิจารณา คนในรัฐบาลยิ่งแสดงอาการของผู้ขาดสติสัมปชัญญะหนักกว่าใครทั้งหมด เพียงเพราะได้ยินว่ามีคนพูดถึงกฎหมายนี้แต่เพียงผิวเผินและแผ่วเบา ท่านก็พากันร้องเสียงหลงราวกับถูกผีเข้าสิงก็ไม่ปาน รัฐบาลที่มาจากการสนับสนุนอย่างท่วมท้นจากมหาประชาชนไฉนเลยไม่มีความกล้าหาญ สักเพียงน้อยนิดที่จะริเริ่มทำสิ่งที่จะนำพามาซึ่งความก้าวหน้าและวัฒนาถาวร ของสถาบันหลักของชาติ เราจะมีรัฐบาลที่ขลาดเขลาเยี่ยงนี้ไปทำไปกัน
ทอดตาไปทั่วแผ่นดินจะหาใครเป็นที่พึ่งก็ไม่ได้ เห็นทีราษฎรผู้จงรักภักดีทั้งหลาย ควรจะได้รวมตัวกัน เข้าชื่อกันให้มาก เสนอร่างแก้ไขกฎหมายเพื่อป้องกันไม่ให้คนพาลสันดานหยาบแอบอ้าง พระนาม พระยศ พระเกียรติมาเป็นเครื่องมือของตนห้ำหั่นราษฎรด้วยกันเองให้เป็นที่เสื่อม เสียได้อีกต่อไป
หากแม้นในวันนี้จักต้องประสบกับความล้มเหลว แต่ทั่วพิภพก็จะรับรู้ว่าบัดนี้กลจักรแห่งความเปลี่ยนทางสังคมได้อุบัติขึ้น แล้ว และจะดำรงอยู่เพื่อความวิวัฒนาถาวรของโลกสืบไป