ส่งเสริมคนดีให้ได้ปกครองบ้านเมือง

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

Saturday, 17 December 2011

ปรวย Salty Head: ตอนที่ 3 บ้านเมืองเข้าสู่ยุคเถื่อนยังไง

ที่มา Thai E-News

ที่มา เฟสบุ๊ค ‎Pruay Salty Head
16 ธันวาคม 2554

ถ้า ใครยังจำได้หลังจากผมโดน ดีเอสไอ บุกจับกุม ผมเขียนเรื่องราวเล่าเรื่องว่าดีเอสไอจับผมยังไง เผยแพร่ในอินเตอร์เนตเพื่อแชร์ประสบการณ์ที่หาได้ยากกับเพื่อนๆในโลกไซเบอร์ ถ้าท่านเคยอ่านจะเห็นได้ว่าผมไม่เคยมีอคติโกรธเคืองกับเจ้าหน้าที่ที่จับกุม ผม เพราะผมเข้าใจว่าเขาทำตามหน้าที่ ส่วนกฏหมายที่ใช้จับกุมมันมีปัญหาในการบังคับใช้ภายใต้อุดมการณ์กษัตริย์ นิยมที่ปกคลุมประเทศนั้นก็เป็นอีกเรื่องนึง

ผมเองก็ ไม่คิดว่าผมจะต้องมาเขียนเล่าเรื่องราวเหตุการณ์ต่อเนื่องนี่อีก ครั้งเป็นครั้งที่ 3 ผมไม่คิดว่าบ้านเมืองเราจะเข้าสู่ยุคเถื่อนถึงขนาดนี้ ตลอดมาหลังจากผมหลบหลี้หนีภัยออกนอกประเทศ ผมเข้าขอความช่วยเหลือกับองค์กรสิทธิมนุษยชนหลายแห่งในต่างประเทศ รวมทั้งองค์กรใหญ่ระดับโลกอย่าง UNHCR

ผมถูกสัมภาษณ์นับครั้งไม่ถ้วน กับเรื่องราวที่เกิดขึ้น ผมก็เล่าให้เขาฟังอย่างตรงไปตรงมาไม่มีใส่สีตีไข่ โดยเฉพาะประเด็นที่เขาถามเน้นคือขณะที่เจ้าหน้าที่ ดีเอสไอ เข้าจับกุมผมมีการทรมานผมหรือไม่ รังแกผมหรือไม่ ผมตอบไปตามตรงว่าไม่มีเลย เจ้าหน้าที่ ดีเอสไอ ที่เข้าจับกุมปฏิบัติต่อผมอย่างดี สั่งอาหารมาให้ผมกินระหว่างสอบสวนด้วย พูดกับผมอย่างดี ที่ผมเล่าไปแบบนี้เพราะผมคิดว่าถึงแม้เจ้าหน้าที่จะเข้าจับกุมผมและผมหลบหนี ขณะนี้ มันก็เหมือนเรากำลังเล่นเกมส์แมวจับหนูกัน

เจ้าหน้าที่มี หน้าที่ไล่จับผม ส่วนผมเป็นมนุษย์ผู้รักเสรีภาพผมไม่ยอมให้ตัวเองขาดอิสระภาพผมก็ต้องหนี และผมคิดว่าเกมส์ที่เรากำลังเผชิญกันอยู่นี้เป็นแฟร์เกมส์ ผมคิดว่าเจ้าหน้าที่จะเล่นเกมส์ตามกฏกติกาที่มีอยู่ ซึ่งจะว่าไปตามกฏกติกาที่มีอยู่ในสภาพบ้านเมืองไม่ได้เป็นประชาธิปไตยเต็มใบ แบบนี้ เจ้าหน้าที่ก็ถือแต้มต่อเหนือกว่าผมมากมาย

แต่ผมไม่คิดเลย ว่า ขณะที่เจ้าหน้าที่บ้านเมืองถือกฏหมายฉบับที่เอาเปรียบกฏขี่บังคับประชาชน อยู่ในมือแบบมีอำนาจล้นเหลืออยู่แล้ว พวกท่านยังพยายามใช้อำนาจเถื่อนเล่นเกมส์นอกกฏกติกาที่มีมากอยู่แล้วเข้าไป อีก

วันที่เจ้าหน้าที่ดีเอสไอบุกเข้าจับผมเมื่อปีที่แล้ว พวกเขาพาผมกลับไปบ้าน พวกเขาเข้าค้นบ้านผมทุกซอกทุกมุม ก็ไม่พบสิ่งของผิดกฏหมายอะไร คงพบแต่โน๊ตบุ๊คผมและหนังสือมากมายเต็มบ้าน พวกเขายังหยิบหนังสือการเมืองบางเล่มไปเพื่อจะดูว่าผมอ่านอะไรบ้าง และภายหลังพวกเขาก็คืนมาให้ผมอย่างดี

หลังจากนั้น เมื่อผมหลบหนีออกจากประเทศไม่นาน บ้านหลังนี้ที่ผมตั้งใจซื้อเพื่อให้แม่กับน้องผมได้มาอยู่ด้วยก็มีเหตุ จำเป็นให้ต้องประกาศขาย เพราะเมื่อผมไม่อยู่ต้องหลบออกจากประเทศ ผมไม่มีงานทำ เงินที่ผ่อนบ้านแต่ละเดือนแม่กับน้องสาวผมไม่อาจรับภาระไหว ผมจึงต้องตัดใจประกาศขาย และเพื่อให้ผู้ที่ต้องการจะซื้อมั่นใจว่าเมื่อซื้อแล้วท่านสามารถเข้าอยู่ ได้ทันที ผมจึงต้องให้แม่กับน้องสาวย้ายออกจากบ้านไปอยู่ที่อื่น บ้านหลังนี้ก็ว่างลงเป็นเวลาปีกว่าแล้ว ไม่มีใครอยู่ที่บ้าน ไม่มีสิ่งของหลงเหลือในบ้าน คงมีแค่จักรยานคันโปรดของผมฝากจอดไว้อยู่

แต่ แล้วจู่ๆไม่กี่วันมานี้ เจ้าหน้าที่บ้านเมืองก็เล่นเกมส์เถื่อนกับผม เขาโทรไปหาน้องสาวผมทำทีเป็นขอซื้อบ้าน ถามว่าทำไมถึงขายบ้าน น้องสาวผมก็บอกไปว่าพี่ชายให้ขายเพราะพี่ชายไปอยู่ต่างประเทศ หลังจากนั้นก็มีคนโทรมาอีกครั้งคราวนี้เปิดเผยตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ บอกว่าจะขอเข้าค้นบ้าน มีกุญแจมั๊ย ซึ่งแน่นอนเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้นัดล่วงหน้า น้องสาวผมก็อยู่ไกลและไม่ได้เตรียมกุญแจมาจึงบอกไปตามนั้น แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจกลับบอกว่าตอนนี้อยู่หน้าบ้านแล้ว จะขอเข้าค้นเลย มีหมายค้นด้วย น้องสาวผมก็เลยงงว่าจะค้นหาอะไรเพราะบ้านไม่มีใครอยู่มาเป็นปีแล้ว และสิ่งที่ตำรวจบอกทำให้ตอนนี้แม่และน้องสาวผมตกใจและหวาดกลัวมาก เพราะตำรวจบอกว่า จะเข้าค้นปืนเถื่อนภายในบ้าน! และพวกเขาก็เข้าไปค้นภายในบ้านโดยที่ผมไม่ทราบว่าพวกเขาใช้กุญแจอะไรไข เข้าไป และขณะที่ค้นก็ไม่มีคนที่ผมมอบหมายรับรู้การค้นนั้นด้วย และตอนนี้ผมก็ไม่ทราบว่าเขาบันทึกการตรวจค้นว่าพบอะไรหรือไม่!

เหตุการณ์บัดซบที่เกิดขึ้นนี้ส่งผลสองอย่าง

หนึ่ง การที่ตำรวจยกขโยงกันไปค้นบ้านแบบนี้ แน่นอนเพื่อนบ้านย่อมแตกตื่นและเป็นที่โจษจันกัน เพราะฉะนั้นต่อไปนี้การที่บ้านหลังนี้จะขายได้ย่อมเป็นเรื่องยาก เพราะผมสังเกตุพฤติกรรมคนมาซื้อบ้านก็มักจะไต่ถามความเป็นไปของบ้านจาก เพื่อนๆบ้านที่อยู่ใกล้ชิดกัน ถ้าคนจะมาซื้อทราบว่าบ้านหลังนี้เห็นตำรวจยกโขยงมาค้นปืนเถื่อนแบบนี้ ท่านว่าจะมีใครอยากซื้อหรือไม่

สอง หลังเหตุการณ์เกิดขึ้นทำให้แม่และน้องสาวผมหวาดกลัวและกดดันมาก จริงๆมันมีเรื่องราวเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ที่ผมไม่เคยเล่าคือ เมื่อผมโพสเรื่องราวที่ผมโดนจับครั้งแรกนั้น แม่ผมกับน้องก็โดนเรียกไปสอบ นั้นทำให้ครั้งนี้ พวกเขาถึงขนาดเอ่ยปากฝากมาว่าให้ผมเลิกโพสอะไรเสียทีเถอะ เพราะคนที่อยู่ในประเทศเดือดร้อน นี่มันก็เหมือนเจ้าหน้าที่ทำอะไรผมไม่ได้ก็เที่ยวไปกดดันคนที่ผมรักแทน เพื่อจะให้ผมหยุดต่อสู้

ผมอยากจะฝากบอกไปถึงเจ้า หน้าที่บ้านเมืองทั้งหลายไม่ว่าหน่วยไหนก็ตาม ผมเป็นประชาชนธรรมดาครับ ผมไม่เคยมีอาวุธใดๆในบ้าน ไม่ว่าอาวุธถูกกฏหมายหรืออาวุธเถื่อน อย่าใส่ร้ายป้ายสีผม หรือไม่ทราบว่าท่านมองจักรยานเสือหมอบผมเป็นอาวุธ!

แต่ ถ้าผมจะมีอาวุธอะไรที่จะใช้ต่อสู้เพื่อให้ประเทศที่ผมรักมีความ ยุติธรรมกลับคืนมา เพื่อให้ประชาชนที่รักเสรีภาพอยู่กันอย่างไม่ต้องหวาดกลัวกฏหมายและอำนาจที่ ไม่เป็นธรรม ผมก็จะบอกว่าผมมีแค่กล้องถ่ายรูป มีคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค และอาวุธอีกอันที่สำคัญที่ผมมี ซึ่งท่านควรจะกลัวมากกว่าอาวุธปืนที่พวกท่านเสแสร้งปั้นแต่งขึ้นเพื่อป้ายสี ผม นั่นคือหัวใจของผมครับ

ในชีวิตผม ก็เคยได้ยินเรื่องราวแบบนี้มาบ่อยครั้ง เรื่องการยัดข้อหาให้กับประชาชนผู้บริสุทธ์ แต่ผมไม่คิดว่าผมจะเจอเข้ากับตัวเอง ผมไม่ทราบว่าที่พวกท่านกระทำลงไปมีเหตุผลอะไร

ผมไม่รู้พวกท่านพยายาม ปั้นแต่งเรื่องนี้ขึ้นมาทำไม พวกท่านคงพยายามจะสร้างภาพว่าประชาชนในประเทศนี้ที่ลุกขึ้นเรียกร้องความ เป็นธรรมในประเทศ เป็นพวกก่อการร้าย เหมือนๆกับที่ท่านพยายามจะใส่ร้ายป้ายสีประชาชนมาตลอด เพื่อกลบเกลื่อนเรื่องจริงว่าที่ประชาชนลุกขึ้นมาสู้นั้นเพราะอะไร

แต่ พวกท่านคงได้แต่มองประชาชนอย่างผิวเผิน คิดเอาเองว่าต้องมีปืนเท่านั้นประชาชนจึงจะกล้าลุกขึ้นสู้ แต่ผมอยากให้พวกท่านลองมองย้อนกลับไปดูเหตุการณ์สลายการชุมนุมที่ราชประสงค์ ดูเถิดครับ ว่ามีประชาชนมือเปล่าหรืออย่างเก่งก็แต่มีหนังสติ๊กวิ่งเข้าสู้ทหารที่มี อาวุธปืนเต็มอัตราศึกอย่างไร พวกเขาไม่มีอาวุธเทียบเท่าพวกท่าน แต่อย่างนึงที่ประชาชนผู้ลุกขึ้นมาเรียกร้องความเป็นธรรมมีเหนือกว่าพวกท่าน คือหัวใจครับ

และถ้าท่านจะใช้กฏหมายวิธีการพิสดาร พันลึกเข้าเหยียบย่ำบีบบังคับหัวใจคน เหล่านี้ ผมขอบอกว่า นอกจากจะไม่ทำให้พวกเขาสยบยอมแล้ว พวกเขาจะลุกขึ้นสู้และตะโกนบอกพวกท่านว่า กูไม่กลัวมึงครับ แม้พวกเขาจะไม่มีอาวุธอยู่ในมือก็ตาม
ท้าย นี้ผมรับประกันแบบมนุษย์ธรรมดาคนนึงได้เลยครับว่า แม้ว่าพวกท่านจะพยายามใช้วิธีเถื่อนใส่ร้ายป้ายสีผมอย่างไร ผมก็จะสู้กับพวกท่านอย่างแฟร์เกมส์ครับ ผมจะไม่ใช้วิธีเถื่อนอย่างที่พวกท่านทำกับผมแน่นอนครับ ผมขอเอาเกียรติของประชาชนธรรมดานี่แหละครับยืนยัน

เพราะ ผมเชื่อว่าเมื่อวันนึงประเทศเขาสู่ความปกติและมีเสรีภาพ เมื่อนั้นประวัติศาสตร์จะบันทึกไว้เองครับว่า ในวันที่บ้านเมืองเข้าสู่ยุคเถื่อนใครหน่วยงานไหนทำอะไรไว้บ้าง.

ปรวย salty head
16 ธันวาคม 2554

เป็น วันที่ตัดสินใจยากยิ่งว่าจะโพสเรื่องนี้ให้คนอื่นรู้ดีหรือเปล่า แต่แล้วก็ตัดสินใจโพสครับ และพร้อมยอมรับและเผชิญหน้ากับสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากโพสไปแล้ว


0 0 0 0 0


ปล.สำหรับท่านที่ไม่เคยอ่านเรื่องราวของผมมาก่อน อ่านได้ที่นี้ครับ

เขาจับผมยังไง เรื่องจริงจาก ปรวย salty head ตอนที่ 1 http://liberalthai.wordpress.com/2010/07/26/dsi/

เขาสอบสวนผมยังไง เรื่องจริงจาก ปรวย salty head http://liberalthai.wordpress.com/2010/07/28/dsi-2/