ส่งเสริมคนดีให้ได้ปกครองบ้านเมือง

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

Sunday 13 November 2011

อุเหม่!...ไอ้ ‘จ้าวเจี้ยว’ (สุขุมพันธ์ฯ)

ที่มา vattavan

วาทตะวัน สุพรรณเภษัช

อุทกภัย ครั้งนี้ นอกจากตอกย้ำความอดทนของพี่น้องเราชาวต่างจังหวัด เป็นบททดสอบสำคัญสำหรับคนกรุงเทพฯ ที่แทบจะไม่เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับน้ำท่วมใหญ่
การลุกขึ้นมาเอะอะโวยวายของคนเมืองหลวง เพราะต้องพบความทุกข์ยาก และความยากลำบากจากน้ำท่วม อาจทำให้คนต่างจังหวัด เช่น อยุธยา ชัยนาท สิงห์บุรี นครสวรรค์ฯลฯ มองด้วยความแปลกใจ เพราะพี่น้องในจังหวัดเหล่านั้น พบเห็นน้ำท่วมอยู่เป็นประจำ เรียกได้ว่ามี “วารี-วัคซีน” ที่มีประสิทธิภาพสูงเพียงพอ จึงได้อยู่กับน้ำได้ ไม่ลำบากยากเย็นเหมือนคนกรุงเทพฯที่ผิวบางพอต้องตะแคงตีนเดินลุยน้ำเข้าเท่า นั้น
ก็ร้องเอะอะมะเทิ่ง โวยวายกันลั่นเมืองเลยทีเดียว!

อย่างไรก็ตาม เหตุที่คนกรุงเทพฯต้องออกมาโวย มีอยู่หลายเรื่อง ที่ต้องถือว่า เป็นความ ‘บกพร่อง’ อย่างยิ่ง ของผู้บริหารกรุงเทพมหานคร เพราะการเพิกเฉยละเลย ในการปฏิบัติหน้าที่เช่น
การขุดลอกคูคลอง การลอกท่อระบายน้ำตามหน้าที่ ก่อนถึงฤดูน้ำหลาก!
สำหรับการขุดลอกคูคลองนั้น ผมลองค้นดูและพบว่า กทม.กระทำครั้งล่าสุด เมื่อเดือน มิ.ย.2553 สำนัก การระบายน้ำ ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงร่วมมือกับกองทัพบก โดยกองทัพภาคที่ 1 ในโครงการขุดลอกคูคลอง ในเขต กทม.รวมระยะทาง 677 กิโลเมตร เวลาดำเนินการ 150 วัน งบประมาณ 380 ล้านบาท เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ และเป็นแก้มลิงในการรองรับน้ำได้เพิ่มขึ้น
ปรากฏว่าปีที่แล้ว ขุดลอกไม่ถึงหนึ่งในสาม ของความยาวคูคลองทั้งหมด ที่มากกว่า 3,000 กิโลเมตร
แต่...ปีที่แล้ว น้ำไม่ท่วม
มาถึงปี พ.ศ.2554 นี้ ทาง กทม.ประมาท วางใจว่า น้ำคงจะไม่ท่วม กทม. เหมือนปีกลาย และคงเสียดายงบประมาณ จึงไม่ได้ดำเนินขุดลอกคูคลองตามหน้าที่ แต่อย่างใด
ปีนี้เลยซวย เจอเข้าไป...เต็มตีนเตี่ยเลย!

สำหรับการลอกท่อระบายน้ำ ก่อนถึงฤดูน้ำหลาก หลักฐานที่ปรากฏให้เห็นว่า กทม.ไม่ได้ดำเนินการอีกเช่นกัน เช่น
การ ที่ราษฎรต้องลงทุนไปลอกท่อเอง และสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 ได้ออกข่าวเมื่อวันที่ 2 พ.ย.2554 แสดงภาพชาวบ้านแถวถนนเพชรเกษม ต้องลงไปลอกขยะต่างๆ ที่ตกค้างอยู่ในท่อน้ำเอง ซึ่งพบขยะมากมาย ชนิดที่ใครเห็นก็ต้องตกใจ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า
กทม.ไม่ทำความสะอาดท่อน้ำเลย!
เรื่องไม่ลอกท่อนี้ ปรากฏทั่วไปอย่างกว้างขวางมาก อย่างเขตวังทองหลาง ลาดพร้าว ชาวบ้านที่รู้จักกับผม ฟ้องเข้ามาว่า ท่อถนนซอยบ้านเขา ไม่ได้รับลอกมานานกว่า 2 ปี แล้ว
บางคนบอกว่า

ทาง กทม.ชอบเรื่องข่าวน้ำท่วม เพราะถ้าน้ำไม่ท่วม งบประมาณเรื่องกระสอบทรายที่ใช้ทำพนังกั้นน้ำ มันไม่ ‘ไหล’ และงบเรื่องกระสอบทรายนี้ตรวจสอบยาก เพราะเป็นของใช้สิ้นเปลือง และการซื้อถุงทรายครั้งหนึ่งนั้น มันไม่ใช่แค่ หมื่นสองหมื่นใบ
แต่มันเป็นแสน เป็นล้านใบ!
ที่สำคัญ...กทม.ก็ซื้อของ ‘แพง’ กว่าชาวบ้าน มากๆด้าย!!

แม้จะมีงบประมาณ ไปซื้อกระสอบทรายจำนวนมากมาย แต่ครั้นชาวบ้านหรือชุมชนต่างๆ ไปขอรับการสนับสนุนจากทางสำนักงานเขตต่างๆของ กทม.
กลับถูก...ปฏิเสธ!
หากท่านที่สนใจติดตามข่าว คงจะเห็นหรือได้ยินสื่อต่างๆที่ออกข่าว
กทม.ขอรับการสนับสนุนกระสอบ จากรัฐบาล 1 ล้านใบ!!
ผมเองนึกสงสัยอยู่ครามครัน ว่า

กทม.นั้น มีการวางแผนการจัดหากระสอบ หรือแม้กระทั่งขั้น ‘ตระเตรียม’ การจัดหากระสอบรับน้ำท่วม เพราะเห็นกันชัดๆแล้ว ว่า
ก้อนน้ำมหึมาเคลื่อนเข้ามาจ่อกบาลกรุงเทพฯ อยู่นานเป็นเวลาแรมเดือน แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า อย่างไรเสีย
น้ำต้องท่วม กทม.แน่ๆ!

เมื่อพูดถึงเรื่อง ‘ขั้นตระเตรียม’ การจัดหากระสอบแล้ว
ผมยังนึกเลยเถิด ไปถึงเรื่องการเตรียมแผนเผชิญเหตุ หรือ Contingency Plan สำหรับน้ำท่วม กทม. ว่า
มีอยู่หรือไม่ และมีลำดับขั้นตอนการปฏิบัติ อย่างไร?
นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องเก็บไว้เป็นความลับ แต่เป็นเรื่องที่พึงเปิดเผยกับประชาชนคนกรุงเทพ ตั้งแต่ก่อนเหตุการณ์น้ำท่วมแล้ว มาถึงตอนนี้ก็ยังไม่สายเกินไป
เอาแผนออกมากาง ดูกันหน่อย ได้ไหมล่ะ?

ที่ผมประหลาดใจอย่างยิ่ง คือ เรื่อง ‘อุโมงค์ยักษ์’ ของ กทม. คือ ทุกวันนี้มันทำหน้าที่อย่างที่โฆษณาหรือเปล่า?
อุโมงค์ระบายน้ำขนาดยักษ์ กทม.คุยนักคุยหนาว่า เปรียบเสมือนทางด่วนใต้ดิน ที่จะบังคับน้ำเหนือ และน้ำฝน ให้ระบายออกลงสู่เจ้าพระยาและอ่าวไทยได้อย่างรวดเร็ว เท่ากับระบายน้ำออกจากสระว่ายน้ำขนาดมาตรฐาน 4 สระภายในเวลาเพียง 1 วินาที
ฟังแล้วเคลิ้มไปเลย!

อุโมงค์ยักษ์ดังกล่าว รวม 4 อุโมงค์ มีการโฆษณาชวนเชื่ออย่างกว้างขวางนั้น ได้ผลาญเงินภาษีอากรไป 16,000 ล้าน บาท หวังแก้ปัญหาน้ำท่วม ส่วนจะมีอุโมงค์ใดบ้าง
ผมจะขอใส่รายละเอียดที่ได้จาก น.ส.พ.ข่าวสด ฉบับ 28 ต.ค.2554 เอาไว้ให้เป็นข้อมูลของท่านผู้อ่าน ดังนี้

1. อุโมงค์พระราม 9-รามคำแหง หรือ อุโมงค์ระบายน้ำคลองแสนแสบ - ลาดพร้าวเดิม เริ่มก่อสร้างมาตั้งแต่ปี 2544 ใช้งบประมาณกว่า 2 พันล้านบาท มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 5 เมตร ยาว 5 กิโลเมตร จุดเริ่มต้นที่คลองลาดพร้าวเชื่อมคลองแสนแสบ และไหลลงสู่เจ้าพระยา สามารถระบายน้ำได้ 60 ลบ.ม.ต่อวินาที

2. อุโมงค์รัชดาภิเษก-สุทธิสาร มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 5 เมตร ยาว 6 กิโลเมตร จุดเริ่มต้นจากถนนรัชดาภิเษกตัดถนนสุทธิสาร สิ้นสุดที่แม่น้ำเจ้าพระยา และช่วยระบายน้ำในพื้นที่เขตห้วยขวาง ดินแดง จตุจักร พญาไท ดุสิต และบางซื่อ

3. อุโมงค์ดอนเมือง เป็นอุโมงค์ระบายน้ำที่มีขนาดใหญ่ที่สุด เส้นผ่าศูนย์กลาง 6 เมตร ยาว 13.5 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่มากกว่า 100 ตารางกิโลเมตร ช่วยระบายน้ำในย่านจตุจักร หลักสี่ บางเขน ดอนเมือง และบางส่วนของเขตสายไหม ประสิทธิภาพในการระบายน้ำเท่ากับ 15 เท่า เมื่อเทียบกับอุโมงค์ระบายน้ำแห่งแรกของกทม.ในย่านสุขุมวิทที่สร้างขึ้น เมื่อ 25 ปีก่อน

4. อุโมงค์สวนหลวง ร.9 หรืออุโมงค์บึงหนองบอน - เจ้าพระยา ปรับเนื้องานจากเดิมที่จะเป็นโครงการบึงหนองบอน - คลองประเวศบุรีรมย์ ระยะทาง 3 กิโลเมตร งบประมาณ 995 ล้านบาท

ผมไม่รู้จริงๆว่า อุโมงค์เหล่านั้นมันเสร็จสมบูรณ์ แล้วใช้ได้ครบถ้วนทุกอุโมงค์หรือยัง? เพราะไม่เคยมีข้อมูลให้ชาวบ้านรู้ และถ้าอุโมงค์ดอนเมืองสร้างเสร็จแล้ว ผมสงสัยว่า
น้ำมัน ไม่ลงไปที่อุโมงค์หรืออย่างไร? จึงปล่อยให้สนามบินดอนเมือง ที่ตั้งมาเกือบร้อยปีแล้ว (ตั้งเมื่อ 27 มีนาคม 2457) ไม่ปรากฏมาก่อนว่าเคยโดนน้ำท่วม
มาปีนี้ ต้องกลายเป็น...สนามบินน้ำ!?

ยิ่งไปกว่านั้น ผมฟังวิทยุ อ.ส.ม.ท.คลื่น FM 100.5 MHz ซึ่งเขาเปิดรายการพิเศษ รายงานสถานการณ์น้ำท่วมเกือบตลอดวัน พิเชียร อำนาจวรประเสริฐ ส.ส.สอบตก พรรคมัชฌิมาธิปไตย ของนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ลงสมัคร กทม. ได้คะแนนแค่ 6 พัน เลยหายหน้าหายตาไปพักใหญ่ คราวนี้แอบย่องกลับมาจัดรายการวิทยุอีกแล้ว อีตาคนนี้ แกรายงานชัดเจนว่า
ไม่มีน้ำไหลเข้า ‘อุโมงค์’ สักหยด!!
เป็นเพราะอะไรกันแน่ หรือมันเป็น “อุโมงค์ดัมมี่” อย่างที่ผมเคยแซวเล่นๆเอาไว้
มันกลายเป็น ‘ความจริง’ ขึ้นมา!!!?

ก่อนที่ มีเหตุการณ์น้ำท่วมกรุงเทพ มีการพูดจากันมาก ในเรื่องประสิทธิภาพของการระบายน้ำใน กทม. ซึ่งคุยกันสนั่นเมืองว่า ประสิทธิภาพในการระบายน้ำ ของ กทม.นั้น
มี ‘ศักยภาพ’ สูงกว่ากรมชลประทาน รวมกันทั่วประเทศ!
เคลิ้มอีกแล้ว!!

ผมจำได้ดีว่า ก่อนน้ำเข้าท่วมกรุงเทพ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร ผู้ว่ากรุงเทพมหานคร ดูมีท่าทีมั่นอกมั่นใจมาก ว่า
กรุงเทพ มหานครภายใต้การบริหารของเขา จะสามารถรับสถานการณ์น้ำท่วมได้อย่างแน่นอน ถึงกับกล้าแถลงกับผู้สื่อข่าว เมื่อ 7 ต.ค.2554 ตอนเดินทางไปประชุมกับผู้บริหารเขตหนองจอก อย่างเต็มปากเต็มคำ ว่า

กทม.ต้องระดมสรรพกำลังทุกส่วนให้มากที่สุด ในการเข้ามาช่วยเหลือในพื้นที่ โดยที่ผ่านมา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีได้บอกกับตนว่า
หาก กทม. ต้องการความช่วยเหลือ ก็สามารถประสานมายังรัฐบาลได้ ซึ่งตนก็รู้สึกดีใจที่รัฐบาล จะให้ความช่วยเหลือ แต่ กทม. ไม่อยากพึ่งใคร เพราะ อยากพึ่งตนเอง เนื่องจากเรามีสรรพกำลังของตัวเอง พร้อมทั้งประชาชนที่จะช่วยเหลือ อีกทั้งในต่างจังหวัด ที่ประสบปัญหาน้ำท่วมยังอยู่ในสถานการณ์ที่เดือดร้อนกว่าคน กทม. จึงอยากให้รัฐบาลเข้าไปช่วยเหลือคนในต่างจังหวัดมากกว่า
เรื่องนี้จึงไม่ใช่เรื่องของ ‘ศักดิ์ศรี’ อย่างเดียวเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของความจำเป็น และ
กทม. ดูแลตัวเองได้!
ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ กล่าวต่อว่า ตนอยากให้การสั่งการในวันนี้เป็นเหมือนกรอบในการทำงานแก้ปัญหาน้ำท่วม ถือเป็นโมเดลแก้ปัญหาน้ำท่วมในเขตอื่นของฝั่งตะวันออก

ท่านผู้อ่านที่เคารพครับ

มาถึงวันนี้แล้ว ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ฯน่าจะตระหนักดีว่า กทม.ภายใต้การบริหารของตน นั้น หาได้มี ‘ศักยภาพ’ ตามที่ตัวคุยโม้โอ้อวดเอาไว้ เพราะพอน้ำเข้ากรุงเทพ แค่ไม่กี่วันเท่านั้น
กทม. ก็แหกปากร้องลั่น ขอกระสอบจากนายกฯ 1 ล้าน ใบ อย่างที่ผมได้เล่าให้ฟังไปแล้ว
นึกว่าจะเก่งไปได้สักกี่น้ำ!
กะอีแค่กระสอบทราย...มันยังไม่ตระเตรียมล่วงหน้า!!

ใช่แต่ตัวนายอย่าง ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ฯ ผู้ว่า กทม.ที่ขี้คุยเท่านั้น แม้แต่เจ้าหน้าที่อย่างนายสัญญา ชีนีมิตร ผู้ อำนวยการสำนักการระบายน้ำกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นหัวใจหลักในการแก้ปัญหาน้ำท่วม ยังให้สัมภาษณ์หลังผู้ว่าไม่กี่วันว่า โดยเมื่อ 11 ต.ค.2554 ด้วยความภาคภูมิใจเหลือเกิน ว่า
กทม.มั่นใจ อุโมงค์ยักษ์ป้องกันน้ำท่วมกรุง

ถึงวันนี้ เวลานี้น้ำท่วมกรุงเทพฯอย่างน่ากลัว ท่านผู้อ่านคงได้เห็นความจริงกันแล้ว ว่า การระบายน้ำใน กทม. นั้น
ไม่ได้มี ‘ศักยภาพ’ อย่างที่ ‘คุยเขื่อง’ เอาไว้เลย!

หันมาดูการเตรียมการ ในการเข้าเผชิญเหตุวิกฤตของ กทม.ซึ่งมีความรับผิดชอบเต็มๆ นั้น ต้องบอกตรงๆว่า
ไอ้คนพวกนี้มันทำได้ย่ำแย่มาก เพราะนอกจากจะต้องร้องขอกระสอบทราย จากรัฐบาลแล้ว กทม.ยังไม่ได้ตระเตรียมเครื่องสูบน้ำ ไว้ให้เพียงพอ สำหรับปฏิบัติการตามหน้าที่ของตนเอง ถึงกับต้องร้องโอดโอย ขอเครื่องสูบน้ำไปยังรัฐบาล
กรณีนี้เป็นเรื่องเร่งด่วน แต่ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ฯ ผู้ว่า กทม. ดันทำเป็นหนังสือไปถึง ศปภ.และกระทรวงมหาดไทย ให้ร้องขอไปทาง กรมชลประทาน กระทรวงเกษตรอีกทางหนึ่งด้วย

นี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความทุกข์ของชาว กทม.แท้ๆ แต่อีตาสุขุมพันธ์ ดันทำตามขั้นตอนธุรการตามปกติ ขาดการประสานงานอย่างที่ควรจะเป็น เหมือนหน่วยราชการอื่นๆ ที่เขาทำกันเป็นเรื่องธรรมดา อีกทั้งหน่วยงานของตัวเองนั้น เป็นฝ่ายร้องขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นด้วยซ้ำ จนนำไปสู่การโต้เถียงกับอธิบดีกรมชลประทาน ต่อหน้านายกฯปู
ทุเรศแท้ๆ!
นายบรรหาร ศิลปะอาชา อดีตนายกฯ ถึงกับออกมาพูดเรื่องนี้ว่า แค่ลดการถือยศถือศักดิ์ว่ามีเชื้อมีสาย แล้วยกหูโทรถึงกันสักหน่อย ก็คงไม่มีปัญหาอะไร แต่ผู้ว่า กทม. คนนี้ ก็ทำให้เป็นประเด็นการเมือง ท่ามกลางความทุกข์ยากเดือดร้อนของราษฎรจนได้
ที่เลวร้ายที่สุด ก็คือ
สุขุมพันธ์ฯคนนี้ ถูก ศปภ.โดย พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ออกมาฉีกหน้า ถลกหนังล่อนจ้อน ว่า
ทำหนังสือขอเครื่องสูบน้ำมายังรัฐบาล ลงวันที่ 4 พ.ย.2554 แต่ค่ำวันที่3 พ.ย.2554 ก็ออกมา ‘ดราม่า’ ฟ้องประชาชน ว่า
ทางรัฐบาลไม่ได้ให้การช่วยเหลือเลย...ดูมันทำ!

ผมสงสารคนกรุงเทพฯจริงๆ เพราะพวกเขาช่างมีเคราะห์กรรมเสียเหลือเกิน ที่ดันได้ไอ้คนโลซก อย่างอีตาสุขุมพันธ์ฯ มาเป็นผู้ว่า กทม.
เวลานี้ต้องบอกว่า
ชะตากรรมของกรุงเทพฯ จะเสียหายมากมายแค่ไหน ขึ้นอยู่ที่จำนวนเครื่องระบายน้ำ และประสิทธิภาพในการระบายน้ำออกไปให้ได้ในแต่ละวัน แต่ความจริงที่น่าตกใจ และผมรับรู้มา เกี่ยวกับศักยภาพของ กทม.ในการระบายน้ำออกด้วยเครื่องสูบน้ำของตัวเอง นั้น
มีแค่ 10 กว่าล้าน-ลูกบาศก์เมตร ต่อวัน เท่านั้น!
ไม่ใช่ 3-400 ล้าน-ลูกบาศก์เมตร ต่อวัน...อย่างที่คุยโม้
เอ็ดตะโรเสียงลั่นกันไว้...
บางวันได้แค่ 9 ล้าน-ลูกบาศก์เมตร ด้วยซ้ำไป!!
ข้อมูลของผม...รับรองไม่ผิด!!!

มิน่าเล่า คนถึงให้ฉายาแกว่า “หม่อมเอ๋อ” บ้าง “ชายเอ๋อ” บ้างก็เรียก “หม่อมเมา” แต่บางคนถึงกับเรียกอย่างคึกครื้น ว่า
“หม่อมร่วงผล็อย” ก็ยังมี!
ตัวผมเองเป็นคนขี้เกรงใจ แต่พอได้ยินเรื่องทุเรศๆ อย่างการตั้งแง่ และการออก ‘ดราม่า’ ตอแหล-ตอหลด-ตดใต้น้ำ ของอีตาสุขุมพันธ์ แล้ว
ถึงกับ ‘ของขึ้น’ เลย!

ถ้าบังเอิญผู้ว่า กทม. ที่ถูกสื่อวิจารณ์ว่า เล่นโขนบท
กุมภกรรณ-ทดน้ำ’ บ้าง ทำตัวเป็น ‘จระเข้-ขวางคลอง’ บ้าง มาปรากฏกายที่ตรงหน้าผู้เขียน

เห็นทีจะต้องออกโขน ท่า ‘กริ้ว’ ด้วยการกระทืบตีน พร้อมกับยกมือขึ้นชี้หน้า แล้วออกบทเจรจาตามแบบโขน อย่างตรงไปตรงมา ว่า

อุเหม่!...ไอ้ ‘จ้าวเจี้ยว’
เจรจาเลี้ยวลดมดเท็จสิ้น
คนกรุงช้ำจมน้ำทั้งธรณินทร์

เอา ‘ส้นตีน’ กูไปกินเลยนะมึง!!!

บัดนั้น...เชิดดดดดดดดดดดดด....

***********

ท้ายบท ผมอยากคุยกับท่านผู้อ่านมากกว่านี้ โดยเฉพาะเรื่องโกหกตอแหล ของ ‘แก๊งเนชั่ว’ ที่จงใจ
ปั้นข่าวเท็จ เรื่องทหารขัดแย้งกับนายกฯปู จนกองทัพบกต้องออกมาตอบโต้ว่าบิดเบือนข่าว แต่เกรงว่า คอลัมน์นี้จะยาวเกินไป เอาไว้โอกาสเหมาะๆแล้วกันครับ

(***คอลัมน์ ประจำสัปดาห์ ตอน อุเหม่!...ไอ้ ‘จ้าวเจี้ยว’ (สุขุมพันธ์ฯ) ออนไลน์ วันเสาร์ ที่ 12 พฤศจิกายน 2554)