วาทตะวัน สุพรรณเภษัช
ตอนเป็นเด็ก คุณตาของผมซึ่งเป็นนักเรียนไทยคนแรก ที่ได้เข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยดาร์ท มัธ (Dartmouth College) ซึ่งตั้งอยู่ในประเทศซึ่งทางการไทยในตอนนั้นเรียกว่า
“ประเทศสหปาลีรัฐอเมริกา”
คุณตามักเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับประเทศที่ไปศึกษา ให้ผมฟังอย่างสม่ำเสมอ ต่อมาชื่อประเทศที่ท่านไปเรียนนั้น ทางราชการบ้านเราเปลี่ยนชื่อเรียกขาน เป็น
“ประเทศสหรัฐอเมริกา”
Dartmouth College เป็น 1 ใน 4 ของมหาวิทยาลัยชั้นนำ ที่อยู่ในกลุ่มเรียกกันว่า Ivy League ดั้งเดิม ซึ่งประกอบด้วยอีก
3 มหาวิทยาลัย คือ Harvard, Princeton และ Yale
ผมแปลกใจมาก ที่เห็นคุณตามีความสัมพันธ์กับสถานศึกษาของท่านอย่างลึกซึ้ง เช่น ส่งเงินไปบำรุงมหาวิทยาลัยของท่านสม่ำเสมอ แม้ตัวท่านจะไม่ร่ำรวยเหมือนคนในตระกูลมหาเศรษฐี Rockefeller ซึ่งเป็นผู้บริจาคคนสำคัญของดาร์ท มัธ และเป็นธรรมเนียมของผู้สืบตระกูลนี้ที่เป็นชาย จะเข้าไปศึกษาในมหาวิทยาลัยแห่งนี้
คุณตาทำให้ผมสนใจประวัติศาสตร์สหรัฐ ท่านได้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการสร้างชาติของบรรพชนอเมริกัน ความรักในเสรีภาพ ความเป็นอิสระ และยังเป็นผู้สอนให้ผมรู้จักว่าดินแดนสหรัฐนั้น เป็น
Land of the free home of the brave.
เมื่อไปศึกษาต่างประเทศครั้งแรก ผมไปที่สหรัฐอเมริกา ด้วยทุนของรัฐบาลลุงแซม และดินแดนแห่งนั้นจุดประกายและมุมมองโลกใหม่ๆ ให้กับตัวเองเป็นอย่างมากด้วย
ระบบการศึกษาของสหรัฐ โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้อง กับการศึกษาประวัติศาสตร์ของชาติเขา ทำให้ผมซาบซึ้ง และชื่นชมกับเด็กหนุ่มสาวอเมริกัน ที่พวกเขาสามารถจดจำถ้อยคำ วลี ประโยค หรือสุนทรพจน์ ของประธานาธิบดี และบุคคลสำคัญๆของชาติของตนเอง ได้เป็นอย่างดี และที่น่าชื่นชมมาก คือ
คนอเมริกันมีความภาคภูมิใจ ในชาติตนเองยิ่งนัก!
เคยเล่าให้ท่านผู้อ่านฟังว่า สหรัฐนั้นเป็นมิตรประเทศที่ดีของไทย และมีคุณานุปการต่อบ้านเมืองของเรา โดยเฉพาะเรื่องการศึกษา ที่คณะมิชชันนารีอเมริกัน ได้เข้ามาวางรากฐานให้กับเมืองไทย โดยเฉพาะการศึกษาของผู้หญิง ด้วยการตั้ง โรงเรียนกุลสตรีวังหลัง จนกลายมาเป็น โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย ในปัจจุบัน
นอกจากนั้น ผู้สำเร็จจากโรงเรียนนี้ในระยะต้น ยังได้กลายเป็นกำลังสำคัญในการวางรากฐาน ให้กับโรงเรียนสตรีอื่นๆ ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคด้วย
ผมเล่าต่อไปด้วยว่า
การศึกษาภาษาอังกฤษนั้น คนอเมริกันก็มีส่วนอย่างสำคัญ มากกว่าชาวอังกฤษเจ้าของภาษาด้วยซ้ำ แม้แต่พจนานุกรมของไทย คุณหมอปลัดเล และ มิสเตอร์แมคฟาแลนด์ ก็สร้างให้ ก่อนที่คนไทยเองจะคิดทำ นานถึงครึ่งค่อนศตวรรษ เพราะกว่า คุณ ส.เสถบุตร จะพิมพ์พจนานุกรมไทย- อังกฤษ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี ก็ล่วงเข้าปี พ.ศ.2480 แล้ว
ที่ถือว่าสหรัฐอเมริกา มีบุญคุณต่อเมืองไทยอยู่มาก และไม่อาจลืมได้เลย นั่นคือการสนับสนุนไทย ไม่ต้องกลายเป็น “ผู้แพ้” ตามญี่ปุ่น “มหามิตร” ในสงครามโลกครั้งที่ 2
เรื่องนี้...ใหญ่หลวงนัก!
ทาง การไทยซาบซึ้งเป็นอันมาก และตอบแทนด้วยการยกที่ดิน ซึ่งเป็นที่ตั้งบ้านพักของเอกอัครราชทูตสหรัฐปัจจุบันให้ เป็นการสำนึกในบุญคุณชาวอเมริกัน
แม้จะทดแทนกัน ได้ไม่หมดก็ตาม!!
ถึงจะ นิยมชมชอบสหรัฐอย่างที่เล่ามา แต่ในระยะ 5 ปีที่ผ่านมาหลังการรัฐประหาร 2549 ผมก็ต้องพบว่า ตัวเองข้องใจและขัดเคืองเป็นอย่างมาก นั่นคือ
เอกอัครราชทูตและรัฐบาลอเมริกัน ไม่เคยแสดงทีท่าต่อต้านการรัฐประหารในประเทศไทยเลยแม้สักนิด แถมยังดันออกวีซ่าให้ พล.อ.สนธิ บุณยะรัตกลิน หัวหน้าคณะปฏิวัติ เดินทางไปพบปะกับคนไทยในสหรัฐฯ เพื่อให้ “ไอ้บัง กบฏ” ได้มีโอกาสแสดงปาฐกถา ใน
Land of the free home of the brave.
นายคนนี้ไปโอ้อวดถึงความสำเร็จ ในการเป็นผู้ร้าย ทำลายระบอบประชาธิปไตย และละเมิดสิทธิชาวไทยอย่างร้ายแรง ด้วยการขนกำลังทหาร พร้อมอาวุธและรถถัง ออกมาทำรัฐประหารจนสำเร็จ
ทำลายหัวใจคนไทย ผู้รักชาติ รักประชาธิปไตยยิ่งนัก!
เมื่อไม่กี่สัปดาห์มานี้ ผมได้เขียนบทความชื่อ “วาทตะวัน” ถึง เอกอัครราชทูตอเมริกัน!!!
(http://www.vattavan.com/detail.php?cont_id=309)
ตอนหนึ่ง ได้บรรยายเอาไว้ว่า
การ ที่สหรัฐฯไม่คัดค้าน หรือต่อต้านการยึดอำนาจในประเทศไทย เมื่อ ปี พ.ศ.2549 ตลอดจนการวางเฉยไม่แสดงท่าทีใยดี ต่อการ “สังหารหมู่” ประชาชนในประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ.2553 บนถนนสายประวัติศาสตร์ “ราชดำเนิน” และการชุมนุมที่แยกราชประสงค์ เป็นเครื่องแสดงให้เห็น อย่างชัดเจนว่า
อเมริกันนั้นไม่แยแส ต่อทุกข์สุขมิตรเก่าแก่ของตัวเลย!
ผม สังเกตว่า อเมริกันชนยุคหลังๆ แตกต่างไปจากคนอเมริกันยุคก่อน ที่เคยยึดมั่นในสิทธิเสรีภาพชาวโลก ช่วยเหลือมิตรประเทศอย่างจริงใจ แต่ในยุคปัจจุบัน เรื่องที่เกิดขึ้นกับไทยอย่างกรณี “วิกฤติต้มยำกุ้ง” ได้แสดงให้เห็น “สันดาน” อเมริกันชนยุคใหม่ ได้เป็นอย่างดี แถมยังมีบทพิสูจน์ จากอดีตผู้นำของสหรัฐฯเองด้วยซ้ำไป นั่นคือ
อดีต ประธานาธิบดีคลินตัน ได้เปิดเผยความลับ ในการที่ไม่ช่วยเหลือไทย คราววิกฤติเศรษฐกิจ ปี พ.ศ.2540 และได้ยอมรับว่า เป็นความผิดพลาดสำครั้งสำคัญของตัว ในหนังสือของเขาเองชื่อ
'My Life'
ชัดเจนว่า อเมริกันทิ้งเพื่อนอย่างไทยแลนด์ อย่างหน้าเฉยตาเฉย ในยามที่ไทย ต้องพบกับความทุกข์ยากอย่างสุดๆ!
พี่น้องไทยทั้งหลาย พึงจำกันไว้ ให้จงดี!!
มาถึงวันนี้ ท่าทีของสหรัฐอเมริกา ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยยะสำคัญยิ่ง กล่าวคือ
เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2554 ประธานาธิบดีสหรัฐ บารัค โอบามา ได้ลงนามในในบทบัญญัติชื่อ Banning Entry to Human Rights Violators เพื่อบังคับใช้เป็นกฎหมาย หลังจากที่ได้แถลงการณ์ว่า
จะมีผลกระทบกับผู้คนจำนวนหนึ่ง ซึ่งพยายามเดินทางเข้ามายังประเทศสหรัฐอเมริกา
บท บัญญัติ Banning Entry to Human Rights Violators นั้น ว่าด้วยการระงับการเข้าประเทศในฐานะของพลเมืองถาวร และพลเมืองชั่วคราว ซึ่งมีส่วนร่วมในการละเมิดกฎหมายทางสิทธิมนุษยชนและทางมนุษยธรรมอย่างร้าย แรง กฎหมายสำคัญ รวมไปถึงการละเมิดสิทธิในด้านอื่นๆ
บทบัญญัตินี้มีเพียง 8 มาตรา แต่จะขอคัดมาตราสำคัญและเป็นหัวใจ ที่ประธานาธิบดีบารัก โอบามา บัญญัติไว้ มานำเสนอ กับท่านผู้อ่าน โดยถอดความเป็นภาษาไทย เพื่อให้ท่านเข้าใจกระจ่างชัดขึ้น ดังนี้
มาตรา 1. การเดินทางเข้าประเทศสหรัฐอเมริกา ในฐานะพลเมืองถาวรหรือพลเมืองชั่วคราว ของบุคคลประเภทที่จะกล่าวไว้ จะถูกระงับ ด้วยประการดังนี้:
(เอ) ชาวต่างชาติใดๆ ซึ่งเคยเป็นผู้ วางแผน, สั่งการ, ช่วยเหลือ, อนุเคราะห์อุปถัมภ์ และ หนุนหลัง, มอบหมาย หรือ ถ้าได้เข้าไปมีส่วนร่วมกระทำการ, รวมไปถึงการได้รับมอบหมายหน้าที่ต่อการกระทำการตามคำสั่ง, กระทำ ความรุนแรงอย่างกว้างขวาง หรือเป็นไปตามระบบกฎเกณฑ์กับประชากรพลเมืองใดๆ ที่มีฐานแตกต่างกัน, ไม่ว่าจะเป็นทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน, ในเรื่องของ ความต่างทางเผ่าพันธุ์; ต่างสีผิว; ต่างเชื้อชาติวงศ์ตระกูล; ต่างเพศ; ต่างในเรื่องของความพิกลพิการไร้วามสามารถ;
เป็นสมาชิกต่างกลุ่มของชน พื้นเมืองโดยกำเนิด; ต่างภาษา; ต่างศาสนา; ต่างความเห็นทางการเมือง; ต่างชาติกำเนิด; ต่างเชื้อชาติ; เป็นสมาชิกที่ต่างกับกลุ่มทางสังคมเฉพาะราย; ต่างการเกิด (อายุ); หรือต่างกันในความปรารถนาทางเพศ หรือ ต่างเอกลักษณ์ทางเพศ; หรือเป็นผู้ที่มีความพยายามหรือสมรู้ร่วมคิดที่เคยกระทำการดังกล่าว
(บี) ชาวต่างชาติใดๆ ซึ่งเคยเป็นผู้วางแผน, สั่งการ, ช่วยเหลือ, อนุเคราะห์อุปถัมภ์ และ หนุนหลัง, มอบหมาย หรือ ถ้าได้เข้าไปมีส่วนร่วมกระทำการ, รวมไปถึงการได้รับมอบหมายหน้าที่ต่อการกระทำการตามคำสั่ง, ทางอาชญากรรมสงคราม, ทางอาชญากรรมต่อมนุษยชาติหรือการละเมิดสิทธิอื่นๆ อย่างร้ายแรงทางด้านสิทธิมนุษยชน หรือเป็นผู้ที่มีความพยายามหรือสมรู้ร่วมคิดที่เคยกระทำการดังกล่าว
พูดภาษาธรรมดาให้เข้าใจง่ายๆ คือสหรัฐไม่ต้อนรับพวกอาชญากร ที่เข่นฆ่าประชาชน หรือผู้ที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนนั่นเอง!
ขอพูด อย่างเปิดใจเลยว่า ประเทศของเราต้องตกอยู่ในภาวะเลวร้าย ไม่มีความสงบ บ้านเมืองทรุดโทรมลง ผู้คนในชาติแตกแยกกันอย่างน่ากลัว จนแทบมองไม่เห็นทางออก นั้น
เป็นเพราะผลพวงจากการทำรัฐประหาร พ.ศ.2549 ของ “ไอ้บัง กบฏ” กับพวกโดยแท้
ผมขัดเคืองอย่างมาก ที่ชาติใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกา ซึ่งอยู่ในฐานะที่มีขีดความสามารถ ในการยับยั้งการกระทำของทหารไทย ที่ฝ่าฝืนหลักสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงได้ แต่สหรัฐกลับเพิกเฉย ไม่แสดงการต่อต้าน อย่างที่ควรกระทำ
จึงไม่สามารถมองเป็นอื่นได้ นอกจากจะมองว่า สหรัฐนั้นไม่ได้คำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชน อย่างที่ตัวเองชอบอ้างเสมอ และปล่อยให้ทหาร ยำยีสิทธิเสรีภาพของคนไทย และระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย ด้วยการก่อรัฐประหาร และเหตุการณ์ในเมืองไทยทรุดลง ลุกลามไปจนถึงมีการร่วมมือกันระหว่าง รัฐบาลอัปรีย์กับทหาร ในการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ด้วยการฆ่าฟันประชาชนคนไทยอย่างไร้ความปราณี จนบาดเจ็บล้มตายไปมากมาย
เมืองไทยต้องเสียหาย ในสังคมระหว่างประเทศ!
ในฐานะที่ได้เขียนคอลัมน์รณรงค์ ต่อต้านการกระทำทีละเมิดสิทธิมนุษยชน ด้วยการรัฐประหารมาอย่างยาวนาน ผมจึงมีความยินดีอย่างยิ่ง ที่ประธานาธิบดีสหรัฐ ได้ประกาศทีท่าจริงจังแข็งกร้าว ต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชน อย่างชัดเจนด้วยบทบัญญัติ Banning Entry to Human Rights Violators
บท บัญญัติดังกล่าว จะเป็นหลักประกันในสิทธิเสรีภาพของประชาชนในบ้านเราที่ทหารยังวางก้าม ถือว่าตัวมีอำนาจด้วยอาวุธในมือ เพราะจะทำให้นายทหาร ที่บังอาจคิดก่อการรัฐประหารในประเทศไทย ต้อง
“ฉุกคิด”
เพราะทำแล้วจะเดินทางเข้าสหรัฐไม่ได้ ด้วยตัวเองและสมัครพรรคพวก จะเป็นบุคคลต้องห้ามตามบทบัญญัติของประธานาธิบดี บารักโอบามา
แต่ไม่ใช่แค่นั้นนะครับ เพราะ นัยยะสำคัญอย่างยิ่ง ของบทบัญญัตินี้คือ....
....พวกทหารที่ยึดอำนาจจากประชาชน นอกจากจะต้องถูกต่อต้านจากประชาชนแล้ว...
จะต้องโดนประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐ ต่อต้านด้วยมาตรการอื่น อย่างหนักด้วย!
ท่านผู้อ่าน ที่เคารพครับ
ประธานาธิบดี อับราฮัม ลินคอล์น เปล่งอมตะวาจา ซึ่งโลกจำได้ดี นั่นคือ
“Democracy is the government of the people, by the people, for the people”
การวางเฉยของสหรัฐ ต่อการรัฐประหาร พ.ศ.2549 ในประเทศไทย ได้ส่งผลให้
“Democracy is the government of the dictator, by the dictator, for the dictator”
ครับ...ทำให้ระบอบประชาธิปไตยของไทยเรา กลายเป็นของ dictator หรือพวกเผด็จการ หรือทำให้ระบอบประชาธิปไตย กลายเป็นของ military หรือพวกทหารไป นั่นเอง
เมื่อสหรัฐรู้ตัว และเปลี่ยนจุดยืนใหม่ แสดงท่าทีแข็งกร้าวต่อพวกละเมิดสิทธิมนุษยชน ซึ่งรวมถึงการปฏิวัติรัฐประหารด้วยแล้ว ผมย่อมมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งตัวเอง ยังมีความเชื่อลึกๆว่า
บทบัญญัติของประธานาธิบดี ‘โอบามา’ คือ ‘ทางตัน-ทางตาย’ ของการปฏิวัติ ในประเทศไทย!!!
*************
หมายเหตุ ผม ทราบมาอย่างชัดเจนว่า กลุ่มคนไทยในสหรัฐ จะรวบรวมบัญชีรายชื่อนายทหาร ที่ร่วมกันทำรัฐประหาร และที่มีส่วนร่วมมือกับรัฐบาลกาลี ในการสังหารหมู่ประชาชน รวมทั้งรายชื่อนักการเมืองพรรคดักดาน ที่มีส่วนร่วมในการกระทำความผิดด้วย เช่น มิสเตอร์มุกควาย นายเต้บเตื้อก เป็นต้น เสนอกับทางการสหรัฐ ในฐานะผู้ก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ และละเมิดสิทธิมนุษยชนอีกด้วย
จะได้เห็นเป็นข่าวกันเร็วๆนี้ อย่างแน่นอน!
(***คอลัมน์ ประจำสัปดาห์ ตอน ‘ทางตัน-ทางตาย’ ของการปฏิวัติในประเทศไทย!!! ออนไลน์ วันเสาร์ ที่ 3 กันยายน 2554)