คอลัมน์ เหล็กใน
มันฯ มือเสือ
แต่ก็ถือเป็นบทเรียนชี้ให้เห็นว่า การเริ่มต้นทำงานด้วยการวนเวียนอยู่แต่กับเรื่อง "ทักษิณ"
นอกจากไม่ช่วยให้รัฐบาลได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา ยังกลายเป็นตำบลกระสุนตก โดนฝ่ายตรงข้ามถล่มเละเทะ
ทั้งนี้ ไม่ว่ารัฐบาลไหนๆ ก็ตามจะอยู่ได้นานก็ด้วยการโอบอุ้มของประชาชน ส่วนประชาชนจะโอบอุ้มรัฐบาลนานแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับรัฐบาลมีผลงานสร้างสุขสลายทุกข์ให้ประชาชนจริงหรือไม่
ถึงนายกฯยิ่งลักษณ์ จะปฏิเสธเสียงแข็งถึงความพยายามใช้อำนาจเข้าไปช่วยเหลือทักษิณ ไม่ว่าจะผ่านขั้นตอนการถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ หรือการรื้อฟื้นคดีที่ดินรัชดาฯขึ้นมาใหม่ ก็ยังไม่ใช่หลักประกัน
เพราะถึงที่สุดแล้วมีแต่ "ผลงาน" เท่านั้น ที่จะเป็นเครื่องยืนยันว่ารัฐบาลได้ทำเพื่อประโยชน์สุขของส่วนรวม ไม่ใช่เพื่อคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะเครือญาติ
มีคนแนะนำรัฐบาลไม่ควรนำตัวทักษิณกลับมา อย่างน้อยก็ในตอนนี้ แต่ที่ควรนำกลับมาใช้ทันทีคือการบริหารประเทศ "สไตล์ทักษิณ"
คือการเข้าถึงปัญหาประชาชนอย่างแม่นยำ-ฉับไว
ซึ่งกว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์จะจับจุดเคล็ดลับตรงนี้ได้ก็เก้ๆ กังๆ อยู่พักใหญ่
อย่างเช่นการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยน้ำท่วม ที่หลายคนมองว่ารัฐบาลงุ่มง่าม ผิดจากสมัยที่พรรคไทยรักไทยเป็นรัฐบาลและทักษิณเป็นนายกฯ
ทั้งยังไปมัวทะเลาะกับฝ่ายค้าน กล่าวโทษว่าสมัยเป็นรัฐบาลถลุงงบน้ำท่วมไปเกือบเกลี้ยง จนเกิดการโต้เถียงกันไปมา โดยประชาชนยังรอคอยการช่วยเหลือตาปริบๆ
สิ่งที่รัฐบาลต้องเข้าใจก็คือ ตอนนี้ทุกสายตาจับจ้องรัฐบาลอยู่ว่าจะช่วยเหลือ ผู้ประสบภัยอย่างไร มากกว่าจะไปสนใจพรรคการเมืองดีแต่พูด
ถึงจะตะกุกตะกักไปบ้างในช่วงแรก แต่สิ่งที่ชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลเริ่มตั้งหลักได้ คือการสั่งให้รัฐมนตรีเป็นเจ้าภาพติดตามช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม 21 จังหวัด แบบ 1 รัฐมนตรี 1 จังหวัด
นี่แหละคือการทำงานสไตล์ทักษิณ
ถึงจะเอามาใช้ล่าช้าไปบ้าง แต่ก็ยังดีที่ไม่ถูกพิธีกรข่าวทีวีแย่งซีนตัดหน้าไปเสียก่อน
จนเสียฟอร์มเหมือนกับใครบางคน