บรรณาธิการอาวุโสฝ่ายบริหาร บริษัท เนชั่น บรอดแคสติ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) วิพากษ์สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติสะท้อนอาการปากว่าตาขยิบ สองมาตรฐานขององค์กรวิชาชีพสื่อไทย เสนอสอบสื่อที่มีพฤติกรรมสนับสนุนเผด็จการและต่อต้านประชาธิปไตย
บรรณาธิการอาวุโสฝ่ายบริหาร บริษัท เนชั่น บรอดแคสติ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) วิพากษ์ผลการสอบสวนสื่อเครือมติชนโดยสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ สะท้อนอาการปากว่าตาขยิบ สองมาตรฐานขององค์กรวิชาชีพสื่อไทย เสนอสอบสื่อที่มีพฤติกรรมสนับสนุนเผด็จการและต่อต้านประชาธิปไตย
นิธินันท์ ยอแสงรัตน์ บรรณาธิการอาวุโสฝ่ายบริหาร บริษัท เนชั่น บรอดแคสติ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) แสดงความเห็นผ่านสเตตัสในเฟซบุ๊ก วิพากษ์สองมาตรฐานสื่อไทย กรณีอนุกรรมการ ซึ่งแต่งตั้งโดยคณะกรรมการสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติแต่งตั้งระบุว่า สื่อในเครือมติชน เสนอข่าวเอนเอียงเข้าข้างพรรคเพื่อไทย พร้อมเรียกร้องให้ตั้งคณะกรรมการสอบสื่อที่เอียงข้างเผด็จการบ้าง
ทั้งนี้ คณะอนุกรรมการฯ ชุดดังกล่าวถูกตั้งขึ้นเพื่อสอบสวนกรณีที่มีข่าวว่า พรรคเพื่อไทยจ่ายเงินให้กับผู้สื่อข่าวเพื่อให้มีการสนับสนุนพรรคในช่วงเวลา หาเสียงเลือกตั้ง โดยมีการเผยแพร่อีเมล์ที่อ้างว่าเป็นของนายวิม รุ่งวัฒนะจินดา รองโฆษกพรรคเพื่อไทย ระบุรายละเอียดในการจ่ายเงินให้กับสื่อมวลชน
โดยคณะอนุกรรมการฯ สอบแล้วไม่พบว่าบุคคลที่ปรากฏในข่าวมีการกระทำผิดตามที่กล่าวหา แต่ได้ตั้งข้อสังเกตว่า สื่อเครือมติชนนำเสนอข่าวมีลักษณะเอนเอียงเข้าข้างพรรคเพื่อไทย และวานนี้ นายปิยะชาติ มงคลไชยสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการมติชน ได้ออกมาตั้งข้อสังเกตว่า ผลการสอบสวนดังกล่าว “น่าสงสัยในวิธีการและเจตนาหลายประการ โดยเฉพาะการสรุปว่า สื่อในเครือมติชน ได้แก่ ข่าวสด มติชน เสนอข่าวเอนเอียงเข้าข้างพรรคเพื่อไทย โดยนำภาพข่าวนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ลงในสื่อ มาเปรียบเทียบจำนวน และตำแหน่งในการวางภาพ”
ประชาไทขออนุญาตนิธินันท์ นำสเตตัสที่โพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัวมาเผยแพร่อีกครั้งโดยรวบรวมและเรียบเรียง สเตตัสที่นิธินันท์เขียนขึ้นในวันที่ 18 ส.ค. 2554 จำนวน 14 ข้อความ โดยเธอแสดงความเห็นด้วยต่อการตั้งข้อสังเกตของกรรมการผู้จัดการมติชนว่าผล การสอบสวนดังกล่าว “มีปัญหา” และเธอขอเสนอเพิ่มเติมว่าองค์กรวิชาชีพสื่อไทยควรมีการสอบสวนสื่อมวลชนอีก ประเด็นหนึ่งที่สำคัญมากคือ สื่อที่มีพฤติกรรมสนับสนุนเผด็จการและต่อต้านประชาธิปไตย
เห็นด้วยกับข้อวิจารณ์ว่าการผลการสอบดังกล่าวมีปัญหา
“เห็นด้วยว่าผลสอบมีปัญหา อ่านแล้วคลื่นไส้มาก สรุปว่าถ้าเป็น "พวกเรา" ทำอะไรก็ถูกหมด ดีหมด ถ้าทำท่าว่าไม่ใช่พวกเรา พวกมันต้องทุจริตแน่ๆ สื่อเชียร์พรรคประชาธิปัตย์ เชียร์กลุ่มอภิสิทธิชนออกนอกหน้า หรือด่าพรรคเพื่อไทยและชาวบ้านที่ไม่เอาด้วยกับอภิสิทธิชนอย่างสาดเสียเท เสีย ใส่ร้ายป้ายสีเขาชนิดไม่มีความเที่ยงธรรมแม้แต่น้อยก็ได้ ไม่เป็นไร ไม่มีปัญหา ถือเป็นสื่อดีวิเศษ แต่สื่อที่ทำต่างจากนี้ มีปัญหา พวกมันมีแนวโน้มโกง เลว.....
“การที่แต่ละพรรคการเมืองมีนโยบายบริหารจัดการสื่อ ไม่ได้แปลว่า สื่อต้องไปรับนโยบายของพรรคการเมือง การบริหารจัดการของพรรคก็เป็นเรื่องของพรรค เช่นวางแผนว่าช่วงนี้พรรคจะเสนอเรื่องอะไร จะทำอะไร จะบอกอะไรกับสาธารณะ พรรคการเมืองเป็นองค์กร ถ้าไม่มีแผนบริหารจัดการกระทั่งด้านสื่อสารมวลชน ประชาสัมพันธ์ ต้องเรียกว่าห่วย ทำงานไม่เป็น”
“สื่อขายตัว” “ รับเงิน” ล้วนเป็นคำใหญ่โตเอาไว้หลอกด่า เอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่น
“สื่อทุกวันนี้ก็เหมือนกันหมด ไอ้เรื่องประเภทสื่อขายตัว รับเงิน ฯลฯ งี่เง่าเหล่านั้น มันเป็นคำใหญ่โตเอาไว้หลอกด่า เอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่นทุกสื่อทำมาหากินแบบธุรกิจ และอาจ "เลือกข้าง" แนวคิด อุดมคติทางการเมือง สิ่งที่จะพิสูจน์ว่าสื่อทำหน้าที่สื่อหรือไม่แม้คุณจะเลือกข้างก็คือ คุณรายงานข่าวรอบด้านอย่างเที่ยงธรรมเพียงใด หรือคุณระงับใจคุณไม่ให้อคติจนกลายเป็นไส่ร้ายป้ายสี สร้างข่าวขึ้นมาเองเพื่อให้ร้ายฝ่ายตรงข้ามอย่างไรมากกว่า ไอ้ประเภทมาชี้หน้าหาเรื่องกันว่า คนนั้นคนนี้เป็นสื่อเลวเพราะทักษิณ อันนี้ทุเรศ เพราะคนที่เชียร์ฝ่ายตรงข้ามทักษิณอย่างออกนอกหน้าก็มีเยอะ ทำไมไม่ด่ากันบ้างละคะ นี่ก็เป็นอีกตัวอย่างของสองมาตรฐานในสังคมไทยที่ไร้หลักการ”
ข้อสังเกตถึงกรณีอีเมล์รั่ว “ไม่เป็นธรรมชาติ” มากๆ
“เคสนายวิม นึกๆ ก็ประหลาดใจนะ เขียนเมลถึงหัวหน้าตัวเอง "สั่งการ" ให้ไปบอกทักษิณอย่างนั้นอย่างนั้นอย่างนี้ มันไม่เป็น "ธรรมชาติ" มากๆ ใครสั่งทักษิณได้หรือ ทักษิณคนที่ภาพลักษณ์ชัดเจนว่า ไม่รู้จักนิ่ง ไม่รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตนนี่นะ สั่งได้ แถมเงินที่ว่าจ่าย "ซื้อนักข่าว" รายละสองหมื่นนี่ก็ "ตลกมาก" และอ่านในผลสอบก็ชัดๆ ว่า แต่ละคนที่ถูกกล่าวหานั้น ไม่ได้รับผิดชอบข่าวประจำวันของหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นๆ เลย มองดีๆ สิคะ มันเป็นรายการ "สร้างเรื่อง" "หาเรื่อง" ชัดๆ หาเรื่องและสร้างเรื่องบนความอ่อนไหวเชิงดรามาของคนไทยเรื่อง "อุดมคติและจริยธรรมอันยิ่งใหญ่ของคนดี"
“คนไทยโดยเฉพาะคนชั้นกลางในกรุงเทพฯ ที่คิดว่าชีวิตของฉันต้องดีพร้อมนั้น ตื่นตระหนกตกใจง่าย เพ้อเจ้อ เพ้อฝัน ไม่ค่อยคิดใคร่ครวญ มองทุกอย่างเป็นสูตรสำเร็จ
“ทั้งสมาคมฯ ทั้งสภาฯ....น่าคลื่นไส้ ทำท่าจริยธรรมกันสูงส่ง แต่ปากว่าตาขยิบกันมากมาย ฉันทำได้ เธอทำไม่ได้”
ความเกลียดชังทักษิณทำให้คนทำสื่อไร้หลักการ และข่มทับคนอื่นด้วยคำว่า จริยธรรม
“ที่กล่าวมานี้ไม่ได้หมายความว่า สื่อ "รับเงิน"-ขายตัว" เป็นเรื่องธรรมดาตามที่ว่ากันมาเป็น cliche (ความคิดที่คร่ำครึ/ข้อกล่าวอ้างซ้ำซาก) แต่หมายความว่า ข้อกล่าวหาอย่างนั้น เป็นเรื่องตลกไปเสียแล้ว สื่อก็ทำงานรับเงินเดือน บริษัทสื่อก็ทำธุรกิจ การทำงานสื่อก็เป็นองค์กร เป็นระบบกองบรรณาธิการ ดังนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องประเภท นักการเมืองไปเรียกคนทำสื่อมาสักคน จ่ายเงินแล้วบอกว่า เขียนเชียร์ฉันหน่อยนะ เพราะรูปแบบอย่างนั้นเป็นเรื่องตื้นเกินไป
“ข้อเท็จจริงที่เป็นอยู่คือบริษัทสื่อรับเงินโฆษณา ฝ่ายธุรกิจซื้อพื้นที่สื่อลงโฆษณาสินค้าของตน ธุรกิจสื่อก็อยู่รอด และเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องรับซอง เป็นเรื่องธุรกิจ สมัยก่อน ฝ่ายโฆษณาไม่บอกฝ่ายบรรณาธิการว่าช่วยทำข่าวเรื่องนั้นเรื่องนี้ แยกกันเด็ดขาด แต่สมัยนี้ บางทีฝ่ายโฆษณาก็มาบอกฝ่ายข่าวว่าทำเรื่องนั้นนี้ให้บ้าง เส้นแบ่งข่่าวกับธุรกิจมันก็ค่อยๆ บางลง
“พอถึงยุคการเมืองเข้ม ก็มีอีก สมัยที่รัฐบาลทักษิณยังไม่ถูกรัฐประหาร สื่อบางกลุ่มก็ไปประชุมร่วมกับฝ่า่ยจะล้มรัฐบาล วางแผนกันเสร็จสรรพ จะทำทุกวิธีล้มให้ได้ ฝ่ายธุรกิจที่เกลียดรัฐบาลก็สนับสนุนซื้อพื้นที่สื่อนั้น สื่อนั้นก็ได้โฆษณาจากฝ่ายธุรกิจที่เป็นพวกเดียวกัน พอรัฐบาลใหม่มา ก็มีงบจากกระทรวงต่างๆ ให้สื่อมาจัดกิจกรรมหาเงินที่เรียกว่าจัด event อีก ถ้าไม่เกี่ยวกับทักษิณ ทำได้ ไม่มีผิดเลย ไม่มีการกล่าวหาใดๆ เลย เพราะบอกกันว่า นี่แหละธุรกิจ
“แต่พอจะหาเรื่องกัน ก็บอก นี่พวกทักษิณนี่ บริษัททักษิณ พรรคทักษิณมาซื้อพื้นที่สื่อนี้เยอะ มันต้องเข้าข้างทักษิณแน่เลย...อ้าว แล้วพวกที่ได้จากอีกฝ่ายละคะ พวกทีร่วมประชุมวางแผนล้มรัฐบาลทักษิณละ ???
“สื่อที่รับโฆษณาจากฝ่ายที่เกลียดทักษิณก็บอกว่า โอ๊ย ฉันเที่ยงธรรม ฉันไม่เชียร์ประชาธิปัตย์ออกนอกหน้าหรอก ซึ่งเขาก็อาจจะพยายามเที่ยงธรรมจริง แต่ถ้าอย่างนั้น ทำไมไม่คิดละคะว่า สื่อที่รับโฆษณาจากฝ่ายชอบทักษิณเขาก็พูดได้เหมือนกันว่าเขาเที่ยงธรรม
“เห็นไหมว่า ความเกลียดทักษิณในสังคมไทยนี้มันทำให้คนไทยโง่และบ้ากันหมด ไร้หลักการโดยสิ้นเชิง แถมยังงี่เง่าพอที่จะยกหลักการหรู ๆ คำพูดสวยๆ ใหญ่โตต่างๆ มาอ้างว่าตนเป็นคนดีกว่า มีจริยธรรมกว่า ไปข่มทับคนอื่นแบบไร้หลักการด้วย
“แน่นอนว่าคนก็อ้าง "อุดมการณ์" กันทั้งนั้น แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ นะ ควรจะตาสว่างฉลาดเฉลียว มองให้เห็นความแตกต่างระหว่างอุดมการณ์แบบอนุรักษ์นิยม ยอมจำนน ให้อภิสิทธิชนซึ่งอ้างตัวเป็นคนดีควบคุมดูแลประเทศกับอุดมการณ์เสรีนิยม ประชาธิปไตย ที่เชื่อมั่นและเคารพในเสรีภาพของปัจเจก เคารพในสิทธิเสียงของสามัญชน คนเกิดมามีเสรีภาพ เราก็มีสิทธิเลือกอุดมการณ์ของเรา มันเรื่องอะไรเอาสื่อไปมอมเมาผู้คนให้ยอมจำนน และสื่อที่อ้างอุดมการณ์เหล่านั้นก็ได้เงินสนับสนุนจากกลุ่มอนุรักษ์นิยม อย่างนี้จะถือว่า ขายตัวให้อนุรักษ์นิยมไหม หรือถือว่ามีอุดมการณ์ร่วมกัน ถ้าอย่างนั้น มันเรื่องอะไรไปชี้หน้ากล่าวหาคนอื่นที่มีอุดมการณ์แตกต่างว่าขายตัว”
สื่อยัดเยียดความเชื่อเรื่อง “คนโง่ ซื้อได้ ผลประโยชน์คือความเลว” แต่สื่อเองก็ทำมาหากินเพื่อผลประโยชน์
“ความคิด cliche หนึ่งที่สื่อไทยใส่หัวคนในสังคมมาตลอดเพราะคนทำสื่อจำนวนหนึ่งก็ดัน "โง่" เชื่ออย่า่งนั้นจริงจังก็คือ คนซื้อได้ คนไม่มีหัวคิดเป็นของตัวเอง ใครคิดอะไรไม่เหมือนเรา ไม่คิดถึงสถาบันชาติในแนวเดียวกับเรา แปลว่า มัน "ขายตัว".....คิดอัตโนมัติกันแบบนั้น จึงไม่มีทางมองเห็นภาพรวมเลย ไม่เห็นประเด็นปัญหาจริงๆ เลย เพราะมันฝังหัวอยู่แค่นั้น ในกรอบจำกัดแค่นั้น
“cliche อีกอย่างที่คนทำสื่อยัดเยียดใส่หัวคนก็คือ เงิน และ ผลประโยชน์ เป็นความเลว แต่ขอโทษ สื่อก็ทำมาหากินเพื่อเงินและผลประโยชน์ ทุกคนก็ทำงานเพื่อเงินเป็นตัวกลางในการจับจ่ายใช้สอยเพื่อการอุปโภคบริโภค เพื่อการดำรงอยู่ของชีวิต แต่ถ้าจะส่งเสริมในแง่ว่า เราทุกคนก็ควรใช้เงินและคิดถึงผลประโยชน์ที่จะได้อย่างพอดี ก็สื่อเองอีกนั่นแหละที่เชิดชูบูชาความฟุ่มเฟือยหรูหราต่างๆ นานา...ปากว่าตาขยิบที่สุดในโลกจึงเป็นสื่อนี่เอง”
ลำดับเหตุการณ์กรณีสอบสวนสื่อเครือมติชน
30 มิถุนายน เว็บไซต์เมเนเจอร์ ออนไลน์ เสนอข่าวอีเมล์ 2 ฉบับ ระบุว่า มีอีเมล์หัวข้อ "จดหมายถึงท่านพงษ์ศักดิ์" ส่งเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2554 และหัวข้อ "ข้อเสนอ วิม?" ส่งเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน โดยพาดหัวว่า "กุนซือปู ซื้อสื่อที่ละ 2 หมื่น มีเนื้อหาพาดพิงถึงบุคคลหลายคน โดยเป็นบุคคลในสังกัดหนังสือพิมพ์"
5 กรกฎาคม คณะกรรมการสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ มีมติแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเฉพาะเรื่องตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการส่งอีเมล์ ของนักการเมืองระบุการให้เงินและผลประโยชน์แก่ ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน มี นพ.วิชัย โชควิวัฒน เป็นประธาน นางบัญญัติ ทัศนียะเวช รศ.ดร.ดรุณี หิรัญรักษ์ ศ.พิเศษ สิทธิโชค ศรีเจริญ และ ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ เป็นกรรมการ
หลังจากนั้น ทางคณะอนุกรรมการส่งจดหมายเชิญผู้ถูกพาดพิงถึงไปให้ปากคำ โดยมีผู้เดินทางไปให้ปากคำ 5 คน และไม่ได้เดินทางไปให้ปากคำ 3 คน แต่ใช้วิธีส่งจดหมายไปให้แทน นอกจากนี้ ทางคณะอนุกรรมการยังได้เชิญนายวิม รุ่งวัฒนะจินดา รองโฆษกพรรคเพื่อไทย ตลอดจนผู้ควบคุมการเสนอข่าวทางเว็บไซต์เมเนเจอร์ ออนไลน์ มาให้ข้อมูลด้วย ผลการตรวจสอบสรุปว่า คณะอนุกรรมการเชื่อว่า อีเมล์ทั้ง 2 ฉบับน่าจะส่งมาจากบัญชีและรหัสผ่านของนายวิมจริง ส่วนผู้ที่ถูกพาดพิงทั้งหมดไม่สามารถสรุปได้ว่าเอนเอียงเข้าข้างพรรคเพื่อ ไทย
อย่างไรก็ตาม คณะอนุกรรมการ มีข้อสรุปเกี่ยวกับการเสนอข่าวของกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ โดยระบุว่า 1.ภาพข่าว หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ มติชน และข่าวสด นำเสนอภาพข่าวสนับสนุนพรรคเพื่อไทยและ น.ส.ยิ่งลักษณ์ 2.ข่าวเลือกตั้ง ข่าวสด มติชน ไทยรัฐ สนับสนุนพรรคเพื่อไทยและ น.ส.ยิ่งลักษณ์ 3.บทสัมภาษณ์พิเศษ รายงาน สกู๊ปข่าว มติชนสัมภาษณ์ฝ่ายพรรคเพื่อไทย 4 ครั้ง แต่สัมภาษณ์ฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์ 2 ครั้ง เป็นบุคคลที่ไม่เป็นที่รู้จักเมื่อเปรียบเทียบกับพรรคเพื่อไทย หนังสือพิมพ์ข่าวสดเป็นหนังสือพิมพ์ฉบับเดียวที่แปลบทสัมภาษณ์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร 4.คอลัมน์การเมืองหนังสือพิมพ์ข่าวสด มีเนื้อหาโจมตีนายอภิสิทธิ์ ชัดเจนและมากที่สุด และยังสนับสนุนภาพลักษณ์เชิงบวกแก่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ 5.โฆษณาพรรคการเมืองในหนังสือพิมพ์ โดยพรรคเพื่อไทยลงพื้นที่โฆษณามากกว่าพรรคประชาธิปัตย์ และมีข้อสังเกตว่า พรรคเพื่อไทยลงโฆษณาเฉพาะในหนังสือพิมพ์เครือมติชนเท่านั้น
"จากผลการศึกษาดังกล่าว เชื่อได้ว่าพรรคเพื่อไทยน่าจะมีการบริหารจัดการสื่อมวลชนอย่างเป็นระบบ" รายงานของคณะอนุกรรมการระบุ
18 สิงหาคม นายปิยะชาติ มงคลไชยสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการมติชน เปิดเผยว่า ได้เห็นผลการสอบของคณะอนุกรรมการเฉพาะเรื่องตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการส่งอี เมล์ของนักการเมืองระบุการให้เงินและผลประโยชน์แก่ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวล ชน ที่มี นพ.วิชัย โชควิวัฒน เป็นประธานอนุกรรมการ ซึ่งคณะกรรมการสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติมีมติแต่งตั้งขึ้นแล้ว ผลการสอบระบุว่า บุคคลที่ถูกพาดพิงในอีเมล์ ไม่ได้กระทำผิด ข้อหารับสินบนตามอีเมล์นั้นตกไป เป็นเรื่องเข้าใจได้ และมติชนได้ยืนยันความบริสุทธิ์มาตั้งแต่ต้น แต่การตั้งประเด็นตรวจสอบการเสนอข่าวของสื่อ มีข้อน่าสงสัยในวิธีการและเจตนาหลายประการ โดยเฉพาะการสรุปว่า สื่อในเครือมติชน ได้แก่ ข่าวสด มติชน เสนอข่าวเอนเอียงเข้าข้างพรรคเพื่อไทย โดยนำภาพข่าวนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ลงในสื่อ มาเปรียบเทียบจำนวน และตำแหน่งในการวางภาพ