ส่งเสริมคนดีให้ได้ปกครองบ้านเมือง

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

Monday, 8 August 2011

คืนเงินโอ๊ค-เอม 1.1 หมื่นล้าน ไม่อุทธรณ์คดีภาษีหุ้นแอมเพิลริช "เทพเทือก"ไม่แปลกใจ

ที่มา มติชน

นางจิตรมณี สุวรรณพูล รองอธิบดีกรมสรรพากร ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังเห็นชอบตามที่กรมสรรพากรเสนอเรื่องไม่อุทธรณ์เก็บภาษีนายพาน ทองแท้ ชินวัตร และน.ส.พินทองทา ชินวัตร บุตร พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พี่ชาย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าที่นายกฯ คนละ 5,675 ล้านบาท หรือรวม 1.1 หมื่นล้านบาท เนื่องจากศาลภาษีกลางพิพากษาว่า ทั้งสองคนไม่ใช่เจ้าของหุ้นตัวจริง โดยคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน ชินวัตร (ขณะนั้น) เป็นเจ้าของหุ้นที่แท้จริง ดังนั้นการที่กรมไปเก็บภาษีหุ้นจากนายพานทองแท้และ น.ส.พินทองทา จึงไม่ถูกต้อง


"กรมสรรพากรจึงได้คืนเงินสดประมาณ 200 ล้านบาท และทรัพย์สินที่เป็นที่ดินและหลักทรัพย์อีก 1,000 ล้านบาท ที่เคยอายัดไว้คืนให้กับนายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทาไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว" นางจิตรมณีกล่าว ส่วนการเก็บภาษีจาก พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมานนั้น กรมอยู่ระหว่างดูรายละเอียดว่าจะเก็บภาษีจากทั้งสองคนได้หรือไม่

แหล่งข่าวกระทรวงการคลังกล่าวว่า ปกติการฟ้องร้องกรมสรรพากรจะดำเนินการอุทธรณ์ทุกเรื่องเพื่อให้เรื่องถึงที่ สิ้นสุด และไม่มีปัญหาละเว้นปฏิบัติหน้าที่เอื้อประโยชน์ให้ผู้เสียภาษี และหากจะไม่ยื่นอุทธรณ์ ก็ต้องส่งเรื่องมาให้กระทรวงการคลังพิจารณาเห็นชอบก่อน ซึ่งกรณีนี้เห็นว่าคำพิพากษาของศาลฎีกาพิพากษาไว้ชัดเจน การอุทธรณ์จึงไม่มีประโยชน์ แต่กระทรวงเห็นว่ากรมสรรพากรต้องไปเรียกเก็บภาษีจากเจ้าของหุ้นตัวจริงต่อไป ก่อนที่จะหมดอายุความ เพราะทำให้รัฐเสียหาย


สำหรับคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลางนั้น ศาลได้พิพากษาเมื่อวันที่ 29 ธ.ค.2553 ซึ่งเป็นคดีที่นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา มอบอำนาจให้นางกาญจนาภา หงษ์เหิน ผู้แทนคดี เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องกรมสรรพากร, นายสุทธิชัย สังขมณี, นายศิริศักดิ์ พันธ์พยัคฆ์ และนายณัฎฐภพ อนันตรสุชาติ ซึ่งเป็นคณะกรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์การประเมินภาษีของกรมสรรพากร เป็นจำเลยที่ 1-4 ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการประเมินภาษี


โดยศาลพิพากษาว่า นายพานทองแท้และ น.ส.พินทองทามิใช่บุคคลที่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) 164,600,000 หุ้น เงินได้ที่เกิดขึ้นจากการขายหุ้น จึงเป็นของ พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน โจทก์ทั้งสองจึงมิใช่ผู้ที่ได้รับประโยชน์ที่อาจคิดคำนวณได้เป็นเงินอันเป็น เงินได้พึงประเมินตามมาตรา 39 และมิใช่ผู้มีเงินได้พึงประเมินที่จะมีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคล ธรรมดาตามมาตรา 41 แห่งประมวลรัษฎากร การประเมินภาษีของจำเลยที่ 1 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 จึงเป็นไปโดยมิชอบด้วยกฎหมาย พิพากษาให้เพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสอง โดยกำหนดค่าทนายความ 150,000 บาท

ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยว่า เป็นเรื่องที่พอคาดเดาได้ว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้น เพราะเป้าหมายของ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นเรื่องเดิม คือต้องการเอาทรัพย์สินคืน ส่วนจะทำได้หรือไม่คงต้องดูกันต่อไป