คอลัมน์ เหล็กใน
สมิงสามผลัด
เพราะหลังจากกกต.ประกาศรับรองผลการเลือกตั้งส.ส.รอบแรก
ถ้ารับรองส.ส.เกิน 475 คนก็สามารถเปิดประชุมสภานัดแรกได้
วาระก็คือการเลือกประธานสภา
จากนั้นถึงเปิดสภาโหวตเลือกนายกฯ
ถ้าเป็นไปตามกระบวนการข้างต้น ก็ดูเหมือนว่าสภาวะเมืองไทยเริ่มเข้าสู่สถานการณ์ปกติ
แต่ความเป็นจริงแล้ว การเมืองยังไม่นิ่ง
ยังมีวี่แววว่าจะวุ่นวายกันต่อไปอีก
เอาง่ายๆ ถ้ากกต.รับรองส.ส.ไม่ถึง 475 คนภายในกำหนดเวลา 30 วัน
เปิดสภาไม่ได้แล้วจะเกิดอะไรขึ้น !?
ยังมีเรื่องโฉมหน้าครม.ยิ่งลักษณ์ 1 ซึ่งถึงตอนนี้ยังไม่รู้ว่าจะออกมาแบบไหน
จะสวยปิ๊งแบบที่สังคมคาดหวังไว้ หรือจะขี้เหร่จนต้องร้องยี้
ตรงนี้ต้องยอมรับว่าโฉมหน้าครม.เป็นส่วนที่สำคัญ
บ้านเมืองจะไปรอดหรือไม่ก็อยู่ที่ว่ารมต.เป็นที่ยอมรับหรือเปล่า
ว่าที่นายกฯ หญิงคนแรกของไทยต้องไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน
จะเลือกตามใจพี่ชายที่ดูไบจนนำไปสู่ปัญหาในอนาคต
เพราะตอนนี้ก็เริ่มมีคนนำเป็นเงื่อนไขให้ยุบพรรคเพื่อไทยแล้ว
อีกเรื่องที่มีการ "ทิ้งบอมบ์" ไว้ตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้ง
การร้องเรียน "ยิ่งลักษณ์" ข้อหาให้การเท็จคดีซุกหุ้น 4.6 หมื่นล้านของนายแก้วสรร อติโพธิ และหมอตุลย์ สิทธิสมวงศ์
ซึ่งทั้งคู่มีความใกล้ชิดกับรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์
หลายคนฟันธงว่าอาจเป็น "ไม้ตาย" ของกลุ่มอำนาจเก่าที่ยังไม่ยอมวางมือ
เป็น "ระเบิดเวลา" ที่ตั้งชนวนรอให้ระเบิดตูมหลังตั้งรัฐบาลใหม่แล้ว
ในแง่ของข้อเท็จจริงก็ต้องตีความกันให้ชัดว่ากฎหมายเปิดช่องให้เอาผิด "พยาน" ที่ขึ้นเบิกความคดีอาญาด้วยหรือไม่
แต่ในเรื่องกระแสก็ถือว่าได้ผล
เพราะได้คะแนนจากกลุ่มไม่เอาเสื้อแดง ไม่เอาทักษิณ
หรือแฟนพันธุ์แท้อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ฉะนั้น ช่วงเวลาหลังตั้งรัฐบาลแล้ว ต้องจับจ้องกันอย่างไม่กะพริบตา
ระเบิดเวลาคดีซุกหุ้นจะเริ่มทำงานหรือเปล่า
จะขยายผลจนนำไปสู่การยุบพรรคภาค 3 หรือไม่
ประเทศชาติจะหวนสู่วังวนเดิมๆ
เพราะความ 2 มาตรฐานและมือที่มองไม่เห็น
ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยพรรคพลังประชาชน
เป็นช่องทางให้ "อำนาจเก่า" หวนกลับมาอีกครั้ง !?