ศราวุฒิ ประทุมราช
"พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตามพฤติการณ์แห่งคดีและลักษณะการกระทำนำมาซึ่งความเสื่อมเสีย สู่สถาบันกษัติริย์อันเป็นที่เทิดทูนและเคารพสักการะ ประกอบกับพนักงานสอบสวนได้คัดค้าน จึงเชื่อว่าหากอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว ผู้ต้องหาจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน กรณีจึงไม่มีเหตุสมควรให้ปล่อยตัวชั่วคราว (กรณีนายโจ กอร์ดอน (Joe Gordon) หรือชื่อไทย เลอพงษ์ วิไชยคำมาตย์ ผู้ต้องหาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพสัญชาติไทย-อเมริกัน)
นี่คือตัวอย่างหนึ่งของเหตุผล โดยทั่วไปที่ศาลมักจะไม่ให้ประกันตัวผู้ต้องหา หรือจำเลยในคดีอาญา โดยเฉพาะในคดีที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของรัฐหรือคดีที่เกี่ยวกับความสงบ เรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ทั้งนี้เป็นไปตามบทบัญญัติของประมวล กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 108 ประกอบ มาตรา 108/1 ที่มีสาระสำคัญสรุปได้ว่า ในการวินิจฉัยคำร้องขอให้ปล่อยชั่วคราว ต้องพิจารณาประเด็นเหล่านี้ ประกอบด้วย ได้แก่
(1) ความหนักเบาแห่งข้อหา
(2) พยานหลักฐานที่ปรากฏแล้วมีเพียงใด
(3) พฤติการณ์ต่างๆ แห่งคดีเป็นอย่างไร
(4) เชื่อถือผู้ร้องขอประกันหรือหลักประกันได้เพียงใด
(5) ผู้ต้องหาหรือจำเลยน่าจะหลบหนีหรือไม่
(6) ภัยอันตรายหรือความเสียหาย ที่จะเกิดจากการปล่อยชั่วคราวมีเพียงใดหรือไม่
(7) ในกรณีที่ผู้ต้องหาหรือจำเลยต้องขังตามหมายศาล ถ้ามีคำคัดค้านของพนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ โจทก์ หรือผู้เสียหาย แล้วแต่กรณี ศาลพึงรับประกอบการวินิจฉัยได้
มาตรา 108/1 การสั่งไม่ให้ปล่อยชั่วคราว จะกระทำได้ต่อเมื่อมีเหตุอันควรเชื่อเหตุใดเหตุหนึ่ง ดังต่อไปนี้
(1) ผู้ต้องหาหรือจำเลยจะหลบหนี
(2) ผู้ต้องหาหรือจำเลยจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน
(3) ผู้ต้องหาหรือจำเลยจะไปก่อเหตุอันตรายประการอื่น
(4) ผู้ร้องขอประกันหรือหลักประกันไม่น่าเชื่อถือ
(5) การปล่อยชั่วคราวจะเป็น อุปสรรคหรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวน ของเจ้าพนักงาน หรือการดำเนินคดีในศาล
ปัญหาคือ กฎหมายกำหนดให้ศาลสามารถใช้ดุลพินิจประกอบคำวินิจฉัยในการอนุญาตหรือไม่ อนุญาต ซึ่งจากตัวอย่างข้างต้น เหตุผลที่ศาลนำมาประกอบในการวินิจฉัยมิให้ได้รับการประกันตัว หรือปล่อยชั่วคราว มี 3 ข้อ คือ คดีนี้มีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ คดีนี้พนักงานสอบสวนคัดค้าน และ เชื่อว่าผู้ต้องหาจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน
คำถามคือว่า การมิให้ประกันตัวนั้นตามหลักสิทธิมนุษยชนนั้นสามารถกระทำได้เพียงใด และข้อคำนึงถึงการใช้ดุลพินิจ ในการไม่อนุญาตให้ประกันตัวนั้น เป็นไปตามหลักความชอบด้วยกระบวนการทางกฎหมาย (Due Process of Law) หรือไม่
หลักสิทธิมนุษยชน ที่เกี่ยวข้องกับสิทธิในการได้รับการประกันตัวหรือปล่อยชั่วคราว ซึ่งเป็นสิทธิมนุษยชนของผู้ต้องหาและผู้ต้องขัง คือ กติการะหว่างประเทศว่าด้วย สิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง หรือ ICCPR ซึ่งมีหลักการว่า สิทธิประกันตัวระหว่างการพิจารณาคดี จะต้องเป็นหลักการที่ได้รับความคุ้มครอง การมิให้ประกันตัวถือเป็นข้อยกเว้นหรือจะกระทำได้ต่อเมื่อไม่มีวิธีการที่ เบากว่านี้
โดยปกติบุคคลผู้ถูกตั้งข้อหาคดีอาญามีสิทธิที่จะได้รับการปล่อยตัวชั่ว คราวระหว่างการพิจารณาคดี โดยการวางหลักประกันหรือมีบุคคลค้ำประกัน การปฏิเสธคำขอประกันตัวควรจะเป็นข้อยกเว้น อย่างเช่น มีความเป็นไปได้ว่าบุคคลนั้นจะหลบหนีและไม่มาปรากฏตัวในศาลในช่วงการพิจารณา คดี หรือบุคคลนั้นอาจจะทำลายหลักฐาน หรือบุคคลนั้นอาจจะเป็นอันตรายต่อผู้อื่น การปฏิเสธไม่ให้ประกันตัวผู้ต้องหาหรือจำเลยระหว่างการพิจารณา ถือว่าเป็นการละเมิดข้อ 9(3) ของ ICCPR ซึ่งกำหนดว่า “ การควบคุม คุมขังบุคคลระหว่างการพิจารณาคดี ไม่ควรเป็นกฎที่ใช้ทั่วไป”
การคุมขังระหว่างการพิจารณาคดีนานเกินระยะเวลาที่สามารถยกเหตุผลอันเหมาะ สมมากล่าวอ้างได้ เป็นการกระทำโดยไม่มีกฎเกณฑ์และละเมิดข้อ 9(1) ของ ICCPR ที่ว่า “ บุคคลทุกคนมีสิทธิในเสรีภาพและความปลอดภัยของร่างกาย บุคคลจะถูกจับกุมหรือควบคุมโดยอำเภอใจมิได้ บุคคลจะถูกลิดรอนเสรีภาพของตนมิได้”
สิทธิในการได้รับการพิจารณาคดีภายในเวลาที่เหมาะสมนั้นมาจากหลักการที่ ว่า การรอนเสรีภาพ จักต้องไม่นานเกินกว่าระยะเวลาที่จำเป็นสำหรับสถานการณ์เฉพาะนั้นๆ
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติเน้นว่า ในกรณีที่ศาลปฏิเสธการประกันตัว บุคคลผู้ถูกกล่าวหาจักต้องได้รับการพิจารณาคดีโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ กระนั้นก็ตาม สำหรับในประเทศไทยโดยเฉพาะในคดีที่เกี่ยวกับความมั่นคงทางจังหวัดชายแดนภาค ใต้ หรือคดีของคนเสื้อแดง หรือคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามมาตรา 112 สิทธิของผู้ถูกกล่าวหาในการ ได้รับการประกันตัวได้ถูกละเมิดอย่างสม่ำเสมอ นี่ยังไม่รวมถึงความล่าช้าก่อนการพิจารณาคดี และระหว่างการพิจารณาคดี รวมทั้งการอุทธรณ์ที่กินเวลายาวนานเป็นปี เป็นเรื่องไม่ปกติที่เกี่ยวโยงกับการไม่ได้รับการประกันตัวสำหรับผู้ ถูกกล่าวหาที่จะต้องถูกคุมขัง เป็นเวลาหลายปีนับแต่ถูกจับกุม จนถึงการดำเนินคดีสิ้นสุด และถือเป็นการละเมิดสิทธิบุคคลในการได้รับการพิจารณาคดี ภายในเวลาที่สมเหตุผลภายใต้ข้อ14(3)(c) ของ ICCPR (ซึ่งยังไม่ขอกล่าวถึง ในที่นี้) และสิทธิที่ต้องได้รับการปล่อยตัวตามข้อ 9(3) ของกติกาฯ
ปํญหาคือ การใช้ดุลพินิจของศาลในการไม่ให้ประกันตัวนั้น เป็นไปตามหลักความชอบด้วยกระบวนการทางกฎหมายหรือไม่
หลักความชอบด้วยกระบวนการทางกฎหมาย ถือเป็นส่วนหนึ่งของหลักนิติธรรมในเรื่องระบบการพิจารณาคดีที่ว่ากระบวนการ ใช้อำนาจรัฐทุกรูปแบบต้องมีการคุ้มครองให้กระบวนวิธีพิจารณาทางอาญา ทำด้วยความเป็นธรรม ไม่มีอคติ ไม่เลือกปฏิบัติ พอสมเหตุสมผลด้วย ที่เจ้าหน้าที่ของรัฐในกระบวนการยุติธรรม ทั้งตำรวจ อัยการ ศาล และทนายความต้องคำนึงถึง และปฏิบัติตามหลักการนี้โดยเคร่งครัด
ตัวอย่างในคดีนี้ี ตามมาตรา 112 หากจะดำเนินการตามหลักความชอบด้วยกระบวนการทางกฎหมายในการไต่สวนคำร้องขอ ประกันตัวจะต้องเริ่มต้นว่า คดีนี้ผู้ต้องหามีทนายความหรือไม่ ถ้าไม่มี ศาลต้องจัดหาทนายความให้ เพราะเป็นคดีที่มีโทษจำคุกกมากกว่า 10 ปี (ซึ่งนับว่าเป็นโทษที่หนักเกินสมควร) เหตุผลที่ทนายความได้เขียนเพื่อขอให้ศาลสั่งให้ประกันตัว เป็นไปตามหลักการสากลดังกล่าวข้างต้นและรัฐธรรมนูญหรือไม่ ศาลได้อนุญาตหรือได้มีการไต่สวนพยานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้องกับหลักการที่ ว่านั้นหรือไม่ ศาลได้ไต่สวนถึงเหตุที่ว่าผู้ต้องหาจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานอย่างไร ซึ่งในประเด็นการจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานนี้ ต้องให้พนักงานสอบสวนหรือศาลมีภาระในการพิสูจน์ว่า หากปล่อยตัวไปแล้วผู้ต้องหาหรือจำเลยจะไปยุ่งเหยิง หรือไปทำลายพยานหลักฐานอย่างไร จนทำให้ศาลพอใจ และฝ่ายผู้ต้องหาหรือจำเลย ต้องสามารถคัดค้านหลักฐานของพนักงานสอบสวนได้ด้วย ซึ่งในทางปฏิบัติ ข้ออ้างของพนักงานสอบสวนต่อศาล มักเป็นการอ้างลอยๆ โดยขาดพยานหลักฐานที่น่าเชื่อถือ และศาลอาจไม่ได้ทำการไต่สวนเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงตามที่มีการกล่าวอ้างด้วย ในวงการกฎหมายคำว่า “ภาระการพิสูจน์” นั้นหมายความว่า ผู้ใดยกข้อกล่าวอ้างอย่างไร ผู้นั้นต้องนำสืบให้ได้ความจริงตามที่กล่าวอ้างนั้น เช่น อ้างว่าหากปล่อยตัวไปแล้วผู้ถูกปล่อยตัวนี้ เป็นผู้มีอิทธิพลจะไปข่มขู่พยานหรือออกไปยักย้ายถ่ายเทเอกสารสำคัญที่จะใช้ เป็นหลักฐานในการลงโทษจำเลยหรือผู้ต้องหานั้นได้ เป็นต้น ซึ่งประเด็นเหล่านี้ล้วนต้องดำเนินการให้เป็นไปตามหลักความชอบด้วยกระบวนการ ทางกฎหมาย หากไม่มีการดำเนินการเช่นนี้ ย่อมทำให้กระบวนพิจารณาคดีไม่ชอบด้วยกฎหมาย ฝ่ายผู้ต้องหาหรือจำเลย ต้องยกเหตุผลนี้ขึ้นมาต่อสู้ เพื่อให้มีการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีใหม่
การที่ศาลหรือบุคลากรในกระบวนการยุติธรรมเคารพหลักการสิทธิมนุษบชนและ หลักนิติธรรมในเรื่องสิทธิมนุษยชนของผู้ต้องหาหรือจำเลย และ กระบวนการทางกฎหมายที่เป็นธรรม ย่อมจะนำให้คดีต่างๆ ไม่รกโรงรกศาล เป็นประโยชน์แก่ผู้บริสุทธิ์อีกเป็นจำนวนมากในคดี ที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง ทั้งในทางการเมือง คดีเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ และในคดีอื่นๆ และประเทศไทยจะได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่ดำเนินการสอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษย ชนสากลที่นานาประเทศให้การรับรอง อันจะทำให้สังคมมีความสงบ ร่มเย็นได้ต่อไป