ส่งเสริมคนดีให้ได้ปกครองบ้านเมือง

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

Friday, 27 May 2011

ผู้ว่าฯเข้าข้าง! แค่ข่าวลือ กกต.ปฏิเสธลั่น!-ใบสั่งไม่มี!!

ที่มา บางกอกทูเดย์



เทศกาลเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงในวันที่ 3 กรกฎาคมนี้ หลายภาคส่วนในสังคมไทย ยังมีความเชื่อว่า จะเป็นการปลดล็อคทางตันของการเมืองไทย ที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่เกิดรัฐประหาร 19 กันยายน 2549
การทำรัฐประหารครั้งนั้น ได้ทำให้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขเกิดการสะดุด และผิดเพี้ยน จนนำมาซึ่งความแตกต่างทางความคิดเป็นหลายขั้วอย่างไม่น่าเชื่อ
และทำให้เศรษฐกิจ สังคม และการเมืองของไทย มีปัญหาและได้รับความบอบช้ำอย่างหนัก
รวมทั้งหลายคนเริ่มเบื่อหน่ายว่าเมื่อไหร่ การช่วงชิงอำนาจและผลประโยชน์ทางการเมืองจนไม่สนใจผลกระทบ ไม่สนใจว่าจะทำให้ระบบยุติธรรม ระบบราชการ หรือแม้แต่กระทั่งระบบขององค์กรอิสระแปรปรวนไปอย่างใด
ไม่สนแม้กระทั่งว่า จะทำให้บรรดาคณาจารย์ในมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาจารย์ในด้านนิติศาสตร์ จะลำบากใจกับการสอน การอธิบายความให้กับนิสิตนักศึกษาสักเพียงใด
ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะมีการคาดหวังกันเป็นอย่างมากว่า การเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นจะผ่าทางตันได้ หากทุกฝ่าย ทุกกลุ่ม ทุกขั้วอำนาจ ยอมรับในผลการเลือกตั้งที่ออกมา
ซึ่งแม้ว่าการเลือกตั้งอาจจะไม่ใช้วิธีที่ยอดเยี่ยมมากที่สุดในการแก้ไข ปัญหา แต่โดยในสถานการณ์ที่ยังมีคนไม่ยอมที่จะถอยแม้แต่สักก้าว จนทำให้การ Set Zero ไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นได้จริงเสีย
และทำให้ความปรองดองเป็นเพียงแค่ลมปาก หรือดีแต่พูดกันไปวันๆ โดยไม่มีใครสนใจที่จะทำอย่างจริงๆ จังๆ
อย่างน้อยการเลือกตั้ง ก็คือ วิธีที่น่าจะเหมาะสมกับสถานการณ์ในขณะนี้มากที่สุด
ปรากฏการณ์ในการเปลี่ยนสีเปลี่ยนขั้ว ทั้งในแวดวงการเมือง ในแวดวงอำนาจ และแม้แต่กระทั่งในแวดวงกองเชียร์ จึงเห็นได้อย่างชัดเจนมากขึ้น ว่าวันนี้แม้จะเป็นการดวลกันในการหาเสียงของ 2 พรรคการเมืองใหญ่ คือ พรรคเพื่อไทย และพรรคประชาธิปัตย์ เป็นหลัก แต่ก็ใช่ว่าบรรดาพรรคการเมืองอื่นๆ จะด้อยค่าหรือลดรัศมีลง
เพราะความเชื่อในเรื่องของผลการเลือกตั้งยังคงเป็นความหลากหลาย
พรรคเพื่อไทย หมายเลข 1 อาจจะชนะแบบ Land Slide อย่างที่มีการคาดการณ์กันก็ได้
หรือพรรคประชาธิปัตย์ อาจจะกวาดเก้าอี้ได้มากกว่า 200 เก้าอี้ อย่างที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รักษาการนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ในฐานะเลขาธิการพรรค คาดเดากันเอาไว้ก็เป็นไปได้อีกเช่นกัน
ในขณะที่เอาเข้าจริงๆ อาจจะยังไม่มีการชนะที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด จึงจำเป็นต้องจับมือกับพรรคการเมืองขนาดกลางขนาดเล็กในการจัดตั้งรัฐบาลผสม ขึ้นมาก็เป็นไปได้ด้วยเหมือนกัน
ฉะนั้นสิ่งที่ชัดเจนที่สุดในเวลานี้ก็คือ การหาเสียงเลือกตั้งในครั้งนี้ ต่างสาดคารมเข้าใส่กัน อัดกระสุนดินดำสู้กันอย่างหนัก
และพลอยทำให้ปรากฏการณ์ “ข่าวลือทางการเมือง” และ “เด็กเลี้ยงแกะทางการเมือง” ลั่นระงมไปหมดทั้งสังคม
ข้อที่พรรคประชาธิปัตย์หลายคนกำลังใช้อยู่ก็คือ การพยายามกล่าวอ้างเรื่องไม่สามารถลงพื้นที่หาเสียงได้เต็มที่เหมือนกับพรรค การเมืองอื่นๆ เพราะถูกกลุ่มคนที่ใส่เสื้อสีแดงตามราวี ชูป้ายขับไล่ ไม่ยอมรับ และมีความพยายามที่จะเชื่อมโยงว่าเป็นการประทำของกลุ่มคนเสื้อแดง ของ นปช. โดยต้องการที่จะพาดพิงไปถึงพรรคเพื่อไทย
เพราะต้องยอมรับว่ามีการมองว่ากลุ่มคนเสื้อแดง กลุ่ม นปช. นั้นมีความสนิทแนบแน่นกับพรรคเพื่อไทย ดังนั้นจึงต้องพยายามโยงประเด็นของคนใส่เสื้อแดงเข้ากับพรรคเพื่อไทยตาม สไตล์ถนัด ทั้งๆ ที่หากจะย้อนถามว่า ในเมื่อประชาธิปัตย์ต้องการโยงความสัมพันธ์ของกลุ่มพลังคนเสื้อแดงเข้ากับ พรรคเพื่อไทยแล้ว
บริบทแห่งคำถามเดียวกันก็ต้องย้อนถามกลับด้วยว่า แล้วความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มคนเสื้อเหลืองกับพรรคประชาธิปัตย์ล่ะ จะถือเป็นมิติแห่งความสัมพันธ์ในระดับใด
และลึกซึ้งกันแบบไหน ผลประโยชน์ร่วมกันหรือข่มขู่แบล็กเมล์ ถึงได้ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ยอมให้เกิดคำว่า 2 มาตรฐานขึ้นระหว่างคดีของกลุ่มคนเสื้อแดง กับคดีของกลุ่มคนเสื้อเหลือง
รวมทั้งพรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ และบรรดานายกองร้องด่าท้าทายฝีปากกล้าทั้งหลายที่รายล้อมรอบตัวนายอภิสิทธิ์ ล้วนเลือกที่จะไม่ตอบโต้กลุ่มคนเสื้อเหลือง ไม่ปะทะคารมกับนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ
ไม่ว่านายสนธิจะแรงใส่ หรือจัดหนักจัดเต็มชนิดลากไส้ออกมาโชว์เป็นขดๆ สักเพียงใดก็ตาม
นายอภิสิทธิ์ ไม่กล้าที่จะท้าดีเบตถึงความเป็นจริงแห่งข้อกล่าวหาสารพัด กับนายสนธิ
แต่นายอภิสิทธิ์ เลือกที่จะท้าเหยงๆทุกวี่วันที่จะขอดีเบตแข่งกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้สมัครปาร์ตี้ลิสต์ ลำดับที่ 1 ของพรรคเพื่อไทย ทั้งๆ ที่นโยบายในการหาเสียงของทั้ง 2 พรรคนั้นชัดเจนแล้ว โดยที่ประชาชนไม่ได้อยากรู้ถึงนโยบายพรรคอีกแล้ว
แค่อยากจะรู้ว่า จะทำจริงหรือไม่ หรือว่าจะดีแต่พูดกันเท่านั้น
การท้าดีเบตของนายอภิสิทธิ์ ที่ได้รับฉายาว่า The Podium เพราะเชื่อมั่นว่าเป็นข้อได้เปรียบมากที่สุดเพียงหนึ่งเดียวของนายอภิสิทธิ์ ที่มีต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จนทำให้เหมือนเป็นการมุ่งท้าตีท้าต่อยไม่เลิก จึงกลายเป็นเรื่องตลกในสายตาของสังคม ว่านี่ควรเป็นวุฒิภาวะของคนที่จะเป็นผู้นำประเทศหรือไม่???
ท้าพูด ท้าเถียงเพียงอย่างเดียว จนกลายเป็นเท่ากับว่า ประชาธิปัตย์พูดเป็นต่อยหอยถึง พรรคเพื่อไทย และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จนเหมือนการหาเสียงให้ไปในตัวเลยก็ว่าได้
ขณะเดียวกันกระบวนการหาเสียงแบบเล่นกันทุกรูปแบบ ได้ทำให้เกิดการเผชิญหน้ากันมากยิ่งขึ้น เพราะวันนี้ได้เกิดการตั้งคำถามกลับขึ้นมามากมายแล้วว่า ที่บอกว่ามีคนใส่เสื้อแดงไปก่อกวนการหาเสียงการลงพื้นที่ของประชาธิปัต ย์นั้น เป็นคนใส่เสื้อสีแดงกลุ่มไหน เป็นกลุ่มที่จัดฉากกันเอง เพื่อหวังคะแนนสงสาร และหวังยืมมือคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. มากำจัดคู่แข่งหรือเปล่า???
แม้แต่ 1 ใน 5 เสือ คณะกรรมการการเลือกตั้ง อย่างนายประพันธ์ นัยโกวิท คณะกรรมการการเลือกตั้ง ด้านบริหารงานเลือกตั้ง ยังยอมรับเลยว่า การเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้น ถือว่าเป็นการเลือกตั้งยากลำบากที่สุด ตั้งแต่มีการแต่งตั้ง กกต. ขึ้นมา
เพราะการเลือกตั้งที่ผ่านมา ไม่มีความขัดแย้งกันถึงขนาดนี้ รวมถึงความแตกต่างในด้านความคิดที่ส่งผลไปถึงเรื่องความรุนแรง
“หลังจากการปฏิวัติรัฐประหารผ่านพ้นไป ได้มีการจัดการเลือกตั้ง ส.ส. ในปี พ.ศ.2550 แต่ให้หลังจากนั้น 3-4 ปี ความแตกแยกทางความคิดมันมากขึ้นเรื่อยๆ มาสะสมขึ้นเรื่อยๆ เดิมมีเสื้อสีเดียว แต่ปัจจุบันมีเสื้อไม่รู้กี่สี” นายประพันธ์กล่าว
งานนี้ 5 เสือ กกต.เหนื่อยแน่ โดยเฉพาะในประเด็นที่จะถูกโจมตีว่า กรรมการตัดสินไม่เป็นกลาง
ซึ่งนายประพันธ์ ยืนยันว่า ตรงนี้ทาง กกต.ได้ตระหนัก และมีการประชุมหลายครั้ง ระดมทุกฝ่ายมาพูดคุย พร้อมยึดหลักกฎหมายที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง และต้องทำหน้าที่ด้วยความเป็นกลาง ไม่มีการช่วยใคร ถูกคือถูก ผิดคือผิด เน้นความตรงไปตรงมา ไม่มีผลประโยชน์
เป็นการเลือกตั้งที่แม้แต่ กกต. ก็ยังต้องมีเดิมพันที่สูงด้วยเช่นกัน เพราะถ้า กกต.ตกหลุมพรางไม่ว่าจะโดยเต็มใจหรือไม่เต็มใจก็ตาม จนกลายไปเป็นเครื่องมือทำลายคู่แข่งทางการเมืองให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งขึ้นมา ความน่าเชื่อถือ หรือเครดิตของ กกต. เที่ยวนี้ก็จะหมดสิ้นลงในทันที
และปัญหาก็จะต้องเกิดขึ้นตามมาอย่างมากมายแน่
เพราะวันนี้ ทั้งๆ ที่ยังไม่มีการเลือกตั้งเกิดขึ้น แต่ก็เริ่มมีคำถามลอยลมหนาหูมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วว่า จะมีการโกงเลือกตั้งด้วยการสลับสับเปลี่ยนหีบหรือไม่???
มีการใช้บัตรผีที่เกิดจากการพิมพ์บัตรเลือกตั้งเกินกว่าที่ต้องใช้จริงๆ หรือไม่???
หรือแม้แต่กระทั่งจะมีกรณีไฟฟ้าดับ แล้วเกิดปาฏิหาริย์คะแนนแซงคู่แข่งได้หน้าตาเฉยหรือไม่???
สิ่งเหล่านี้แม้จะเป็นพฤติกรรมการเมืองยุคเก่าที่เคยเกิดขึ้นในอดีต แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเกิดขึ้นอีกเสียเมื่อไหร่ ยังดีที่นายประพันธ์ยืนยันว่าจะพยายามควบคุมและป้องกันอย่างเต็มที่ โดย กกต.มีการวางเจ้าหน้าที่ที่เป็นกลาง บุคลากรทุกคนไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับการเลือกตั้ง ดังนั้นจึงมั่นใจพฤติกรรมการโกงในลักษณะดังกล่าวไม่สามารถเกิดขึ้นได้ง่าย ๆ
แต่แม้ว่า กกต. จะอ้างถึงความเข้มงวดในการควบคุมการเลือกตั้งเพียงใดก็ตาม แต่เนื่องจากการเลือกตั้งครั้งนี้ถือเป็นเดิมพันสำคัญของการจะเปลี่ยนหรือ ไม่เปลี่ยนขั้วทางการเมือง จึงมีการเล่นกันแบบเต็มเหนี่ยวไม่มียั้ง
เทศกาลข่าวลือสารพัดจึงได้เกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน
ล่าสุดมีกระแสข่าวลือเกิดขึ้นหนาหูเป็นอย่างมาก ว่าเพราะผลโพลล์ของสำนักโพลล์ต่างๆ ที่ยังมีความเป็นวิชาการที่แท้จริง และมีความเป็นกลางทางการเมือง ส่วนใหญ่จะออกมาว่าพรรคเพื่อไทยค่อนข้างได้เปรียบ และมีโอกาสที่จะได้รับชัยชนะ ได้รับโอกาสในการรวบรวมเสียงเพื่อจัดตั้งรัฐบาลก่อน
รวมทั้งแม้กระทั่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ปาร์ตี้ลิสต์ ลำดับที่ 1 ของพรรคเพื่อไทย ก็มีคะแนนนิยมกระเตื้องขึ้นมาเรื่อยๆ เพราะสังคมเริ่มเห็นใจว่า โดนป้ายสีทางการเมืองหนักมาก
ทั้ง 2 ประการยิ่งทำให้กลุ่มอำนาจที่แพ้ไม่ได้ กำลังพยายามทุกวิถีทางที่จะพลิกเกมที่สูสีอยู่ในขณะนี้ให้กลับมาชนะให้ได้ โดยไม่คำนึงถึงวิธีการ
จึงเกิดข่าวลือว่า ได้มีการใช้กลไกอำนาจรัฐ เข้าไปแทรกแซง สั่งการข้าราชการประจำต่างๆ โดยเฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้องกับฐานประชาชนมากๆ อย่างเช่นผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ ปลัดอำเภอ ให้หาทางช่วยโกงการเลือกตั้งให้ด้วย
ซึ่งแม้จะเกิดกระแสข่าวลืออย่างมากเป็นพิเศษในช่วงนี้ แต่ บางกอก ทูเดย์ ก็ยังไม่เชื่อว่าจะมีผู้ว่าราชการ มีนายอำเภอ หรือมีปลัดอำเภอ กล้าที่จะสุ่มเสี่ยงเอาชีวิตราชการทั้งชีวิตมาเสี่ยงกับนักการเมือง ที่ยังไม่มีความชัดเจนชนิด 100 เปอร์เซ็นต์ ว่าจะได้เข้ามามีอำนาจ ได้เข้ามาเป็นรัฐบาลจริงหรือไม่
เพราะข้าราชการย่อมรู้ดีว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ใช่การเลือกตั้งซ่อมที่มีพื้นที่จำกัด แต่นี่เป็นการเลือกตั้งใหญ่ทั่วประเทศ แถมยังมีคะแนนปาร์ตี้ลิสต์จากประชาชนส่วนใหญ่เข้ามาอีกด้วย เกิดไปยินยอมโกงตามคำสั่งดังที่มีข่าวลือสะพัดในเวลานี้
แล้วหน่วยเลือกตั้งอื่นๆ อีกทั่วประเทศเขาไม่ได้เอาด้วย ทำให้พรรคที่หวังจะให้แพ้ เกิดฝ่าดงโกงเข้ามาเป็นรัฐบาลได้ในที่สุด จะไม่ถูกเช็คบิลหรือ
เพราะการช่วยโกงการเลือกตั้ง ไม่ว่าอย่างไรก็หนีไม่พ้น ม.157 อย่างแน่นอนหากถูกเล่นงาน ซึ่งเป็นคดีอาญาอายุคดียาว 20 ปี... ข้าราชการคนไหนจะกล้าเสี่ยง?!?
สิ่งที่เป็นไปได้ ในภาวะที่คะแนนจากโพลล์ยังขึ้นๆ ลงๆ เบียดบี้กันแบบนี้ โดยไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วใครจะมา ปลอดภัยไว้ก่อนสำหรับอนาคตในการรับราชการก็คือ เกียร์ว่าง
ดังนั้นหากพรรคการเมืองหรือขั้วการเมืองใด คิดว่าจะมีแต้มต่อในการเลือกตั้ง ด้วยการสั่งบรรดาข้าราชการให้ลงมาช่วยเอาเปรียบหรือโกงการเลือกตั้งแล้ว ต้องถือว่าพรรคการเมืองหรือขั้วการเมืองเหล่านั้นไม่ฉลาดเอามากๆ
เพราะตราบใดที่ข้าราชการยังไม่ชัวร์ว่าใครมาแน่ ตอนนี้ก็เลยเข้าเกียร์ว่างกันอุตลุดไปหมด
เช่นเดียวกับกระแสข่าวลือในเรื่องที่จะใช้ กลไกของ กกต. ในการยุบพรรค หรือในการแจกใบแดง ใบเหลือง เพื่อเป็นการกำจัดคู่แข่งขันนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ อีกเช่นกัน เพราะท่าทีของ กกต.ชุดนี้ มีการย้ำตลอดว่า
อยากจะให้แข่งขันกันด้วยความยุติธรรม หากผลการเลือกออกมาก็ต้องยอมรับให้ผู้ที่ชนะได้ขึ้นไปบริหาร ตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย
แม้แต่ในเรื่องที่ลือๆกันว่า อาจจะมีการยุบพรรคเกิดขึ้นอีก นายประพันธ์ นัยโกวิท ยังพูดชัดว่า กรณียุบพรรคถือเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความละเอียด รอบคอบ ในการตรวจสอบ
“เราจะต้องทำด้วยความเป็นกลาง ต้องพิจารณาจากหลักฐาน ด้วยความละเอียด รอบคอบ ใครจะมาบอกว่าผิด แล้วยุบพรรคนี้ไปเลย มันไม่ใช่ มันต้องมีข้อเท็จจริง ต้องเอากฎหมายมาดู ไม่ใช่จะทำงานตามใบสั่งหรือตามใจตัวเอง”
ดังนั้นในเทศกาลเลือกตั้งรอบนี้ บางกอก ทูเดย์ ยืนยันว่าประชาชนต้องหูหนัก และแน่วแน่ในการเลือกตั้งให้กับพรรคที่มีนโยบายที่ตนเองพอใจ และออกไปใช้สิทธิ์กันให้มากๆ
เพราะครั้งนี้หากใครประมาทไม่ไปใช้สิทธิ์ลงคะแนน... ผลจะออกมาอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น