ส่งเสริมคนดีให้ได้ปกครองบ้านเมือง

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

Thursday, 3 February 2011

พยานทหารนิรนามปากที่ 22 กล่าวหารัฐบาล

ที่มา thaifreenews

โดย bozo

Read more from นปช, ประเทศไทย, สิทธิมนุษยชน



โดย หนังสือพิมพ์สปีเกิ้ล
http://www.spiegel.de/international/world/0,1518,742618,00.html


ภาพถ่ายของเหตุการณ์นองเลือดเดือนพฤษภาคมปี 2553
ที่เกิดขึ้นในกรุงเทพมหานครได้ถูกเผยแพร่ไปทั่งโลก
แต่เรื่องราวของการต่อสู้นท้องถนนยังคงเป็นปริศนาจนถึงทุกวันนี้
ทนายชาวแคนาดาผู้ซึ่งพยายามดำเนินคดีกับนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ได้แบ่งปันหลักฐานที่เขารวบรวมกับสปีเกิ้ล

ธงแดงของฝ่ายตรงข้ามโบกสบัดอีกครั้ง
เมื่อผู้ชุมนุมราว 40,000 คนรวมตัวกันในใจกลางเมืองกรุงเทพมหานคร
พวกเขาโบกภาพอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรและสวมเสื้อสีแดง
ซึ่งเป็นกลายชื่อของการเคลื่อนไหวพวกเขา

ผู้ชุมนุมต่างรู้สึกโกรธแค้น พวกเขาร้องเพลงและโบกธงขับไล่ “อำมาตย์”
กลุ่มผู้นำซึ่งรวมถึงชนชั้นสูง ทหาร และรัฐบาล
ซึ่งเป็นกลุ่มบุคคลที่ฝ่ายตรงข้ามเชื่อว่าเป็นกลุ่มที่ “ทำลายเสรีภาพ” ของประเทศ
พวกเขาเรียกร้องให้อธิบายถึงเหตุการณ์นองเลือดที่เกิดขึ้น
ช่วงหลังการประท้วงรัฐบาลเมื่อเกือบปีก่อน

“รัฐบาลพูดถึงเรื่องการสมานฉันท์ปรองดอง
แต่สำหรับพวกเราแล้วเหตุการณ์ดังกล่าวยังคงเป็นเรื่องที่สุดจะทน ”
วรชัย เหมะ หนึ่งในผู้นำคนเสื้อแดงกล่าว
“ผู้นำส่วนใหญ่ของเรายังอยู่ในคุก
และรัฐบาลไม่ดำเนินการสอบสวนถึงอาชญากรรมที่กองทัพกระทำเลย”

ผู้ชุมนุมได้รวมตัวกันที่แยกราชประสงค์สองครั้ง
ในเดือนมกราคม แยกราชประสงค์เป็นที่ที่ผู้ชุมนุมเลือกให้เป็นสถานที่สัญลักษณ์
ซึ่งเป็นจุดที่ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองหลายสิบรายเสียชีวิตจากการสาดกระสุนของทหาร
และยังใกล้กับห้องเซ็นทรัลเวิร์ล
ซึ่งเป็นแหล่งช้อปปิ้งสิ้นค้าต่างๆและเครื่องใช้ไฟฟ้าราคาแพงถูกเผาวอดวาย

ความรุนแรงครั้งล่าสุดตั้งแต่ยุค 70

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี 2553 ซึ่งเป็นเหตุการณ์
ที่ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลยึดพื้นที่ส่วนใหญ่ใจกลางเมืองมากกว่าสองเดือน
แสดงให้เห็นถึงการปะทุของความรุนแรงทางการเมืองตั้งแต่ยุค 70
ที่รัฐบาลบดขยี้การชุมนุมประท้วงของนักศึกษา

รูปถ่ายที่สร้างความสนใจให้ชาวโลกเหตุการณ์ปี 2553 อย่างมากคือ
ภาพถ่ายนอกพื้นที่สงคราม
–พลซุ่มยิงพรางตัว และฝ่ายตรงข้ามที่ถูกสังหารเพราะถูกยิงศรีษะ
ผู้ชุมนุมที่ไม่อาจป้องกันตัวเองได้รู้สึกโกรธแค้นทันที
ในขณะที่อีกหลายคนเสียชีวิตต่อหน้ากล้อง

ประชาชนราว 1,900 ได้รับบาดเจ็บ ในระหว่างเหตุการณ์ความไม่สงบ
ในเดือนเมษายนและพฤษภาคม 2553 และราว 90 รายเสียชีวิต
ซึ่งเป็นการต่อสู้ที่ไม่สมน้ำสมเนื้อ
–เพราะมีทหารเสียชีวิต 9นาย
แต่มีพลเรือนกว่า 80 รายเสียชีวิต รวมถึงพยาบาล
และนักข่าวต่างชาติสองราย

นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะยังคงดำรงตำแหน่งผู้นำรัฐบาล
แต่ได้ย้ายที่พักอาศัยไปยังกรมทหารราบที่ 11 ในกรุงเทพมหานคร
เพื่อเป็นการป้องกันไว้ก่อน
เขาได้รับการสนับสนุนโดยทหารที่ทำรัฐประหารขับไล่ทักษิณ
ซึ่งนายกรัฐมนตรีก่อนหน้านายอภิสิทธิ์ออกจากตำแหน่ง
และต้องหนีไปอยู่ต่างประเทศ
นอกจากนี้ยังมีหลายคนเชื่อว่า
นายอภิสิทธิ์ได้รับการสนับสนุนจากกษัตริย์


การสอบสวนไม่ค่อยมีความคืบหน้า

ไม่น่าแปลกใจที่
การสอบสวนเกี่ยวกับเหตุการณ์การชุมนุมประท้วงของคนเสื้อแดงไม่มีความคืบหน้า
“กองทัพและตำรวจแทบจะไม่ให้ความร่วมมือกับเรา” สมชาย หอมลออ
หนึ่งในคณะกรรมการค้นหาความจริงและปรองดองสมานฉันท์ที่ตั้งขึ้น
เมื่อปีที่แล้วหลังจากเกิดเหตุการณ์ความรุนแรง
กำหนดการเผยแพร่รายงานสรุปถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด
มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่จะเปิดเผยความจริง
โดยไม่ที่ไม่มีการตั้งคำถามกับทหารที่เกี่ยวข้อง สมชายกล่าว

แต่สถานการณ์อาจเปลี่ยนไป
เมื่อทนายชาวแคนาดา นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัมได้รวบรวมหลักฐาน
ซึ่งเขานำไปแสดงต่อศาลอาญาระหว่างประเทศในอาทิตย์นี้
และสปีเกิ้ลมีโอกาสได้อ่านแล้ว

เอกสารนี้ไม่เพียงแต่กล่าวหากองทัพไทย
แต่ยังกล่าวหานายกรัฐมนตรีอีกด้วย
หากข้อกล่าวหาดังกล่าวมีมูล
รัฐบาลอภิสิทธิ์มีหน้าที่ที่จะต้องอธิบายเรื่องราวคอคาดบาดตายหลายเรื่อง
หลักฐานหลักของนายอัมสเตอร์ดัมคือ
คำให้การภายใต้คำสาบานของนายทหารตำแหน่งสูงในกองทัพ
ซึ่งในเอกสารของทนายแคนาดาระบุว่าเป็นคำให้การของ “พยานนิรนามปากที่ 22”

คำให้การเหล่านี้ระบุว่า
ทหารรู้ว่าหลังการทำรัฐประหารปี 2549
–ซึ่งเป็นการทำรัฐประหารครั้งที่ 18 ตั้งแต่ปี 2475
—จะมีการชุมนุมต่อต้านครั้งใหญ่จากกลุ่มคนที่สนับสนุนทักษิณจะเกิดขึ้นไม่เร็วก็ช้า
ผู้นำทหารเริ่มวางแผนตั้งแต่เนิ่นๆที่จะใช้ความรุนแรงทำลายการชุมนุม
และเป็นการกระทำที่ “รัฐบาลรับรู้และให้อนุญาติ” พยานเล่าต่อว่า
พวกเขาได้จำลองถนนในกรุงเทพ “ขนาดเท่าจริง” ภายในกรมทหารราบที่ 11
เพื่อเข้ารับฝึกฝนจากพลแม่นปืนติดอาวุธ

การตอบโต้โดยการสังหารและการโฆษณาประชาสัมพันธ์

หลังจากการชุมนุมประท้วงในปี 2552 พยานอ้างว่า
อดีตนายทหารระดับสูง พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ได้สั่งการเป็นการส่วนตัวให้คนกลุ่มนี้
“ สังหารแกนนำคนเสื้อแดงบางคน” เพื่อตอบโต้การประท้วงหน้าบ้านของเขา
ผู้ชุมนุมอย่างน้อย 6รายถูกสังหาร และพวกเขากล่าวว่ามีผู้ได้รับบาดเจ็บกว่า 100 คน
เมื่อไม่มีสื่อต่างชาติให้ความสนใจกับการสังหารนี้
ผู้นำทหารไม่รู้สึกผิดต่อการกระทำของตน พยานกล่าว

ในระหว่างนั้น พวกเขายังใช้ยุทธศาสตร์ทางการทหาร
เพื่อสร้าง “ภาพลักษณ์ที่ผิดๆ” ของคนเสื้อแดงต่อสาธารณชนว่า
“เป็นกลุ่มหัวรุนแรง” อันตรายและเป็นภัยต่อสถาบันกษัตริย์
และส่ง “กลุ่มผู้ยั่วยุ” ออกไป
“สร้างความหวาดกลัวแก่ประชาชนและโทษว่าเป็นฝีมือของคนเสื้อแดง”
โดยเริ่มตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2553
กลุ่มเหล่านี้จะวางระเบิดในหลายพื้นที่
–และโทษว่าเป็นความผิดของคนเสื้อแดง

ความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลและคนเสื้อแดงไต่ขึ้นสู่จุดสูงสุด
ในวันที่ 10 เมษายน 2553 คนเสื้อแดงยึดพื้นที่ราชประสงค์หนึ่งอาทิตย์ก่อนหน้านั้น
และทำให้ศูนย์กลางค้าและโรงแรมบางแห่งในใจกลางกรุงเทพมหานครต้องปิดตัวลง
เมื่อมีการประกาศใช้พรก.ฉุกเฉินได้ราวสามวัน
ทหารได้จัดจุดของพลซุ่มยิงและอาวุธปืนสงครามในจุดสำคัญ
เพื่อไม่ให้การชุมนุมขยายบริเวณ

สิ่งที่ยังไม่รู้คือ รัฐบาลมีบทบาทใดในการเตรียมการกำจัดผู้ชุมนุม
หรือนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์รู้เรื่องนี้มากน้อยแค่ไหน

หากพยานนายอัมสเตอร์ดัมน่าเชื่อถือ
เขากล่าว่านายกรัฐมนตรีมีส่วนรู้เห็นเกือบทั้งหมด
“นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์อยู่ในที่ประชุมกับผู้นำรัฐบาล ผู้นำทหาร และศอฉ.
(ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน) เกี่ยวกับการดำเนินการต่อคนเสื้อแดง ”
พยานยืนกรานว่า “เขาอนุมัติถูกคำสั่งแก่กองทัพ”

การสังหารอย่างไม่เจาะจง

ในวันที่ 10 เมษานย ผู้ชุมนุมหลายพันคนได้รวมกลุ่มกัน
ชุมนุมบริเวณที่ทำการรัฐบาล ตามคำให้การของพยานนิรนามปากที่ 22 ระบุว่า
พลซุ่มยิงยิงใส่ประชาชนแถวแยกคอกวัวเวลาประมาณ 17.00 น.
ซึ่งเป็นการกระทำที่รัฐบาลระบุว่าเป็นการ “ป้องกันตัว”
แต่พยานทหารอ้างว่าเป็นการสร้างสถานการณ์ยั่วยุให้ประชาชนทำร้ายทหาร

หนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น
พลซุ่มยิงบนดาดฟ้าโรงเรียนสตรีวิทยาได้ยิงคนเสื้อแดง
และทหารจากกรมทหารที่ 2 ยิงใส่ฝูงชนใกล้อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
กระสุนปืนได้คร่าชีวิตของช่างภาพชาวญี่ปุ่น ฮิโร มูราโมโต

พยานนิรนามปากที่ 22 กล่าวว่า
ผู้ชุมนุมแทบจะไม่ตอบโต้กับทหารเลยในตอนนั้น
“แต่อย่างไรก็ตามประชาชนไม่ได้วางเฉยต่อภัยอันตราย”
พยานปากที่ 22 ระบุว่า
“ประชาชนเพียงแค่จุดปะทัดและโยนขวดน้ำพลาสติกใส่ทหาร”

“ราว 19:15 น. เกิดเหตุระเบิดสองลูกด้านหลังที่ตั้งของกรมทหารราบที่ 2”
พยานกล่าวต่อว่า มีทหารหลายนายเสียชีวิตในการโจมตีนั้น
พยานของนายอัมสเตอร์ดัมจึงไม่รู้ว่าทหารถูกสังหารโดยคนเสื้อแดง
หรือกลุ่มผู้ยั่วยุจากกองทัพ การโจมตีนำไปสู่การนองเลือด
เพราะกรมทหารราบที่ 2 ยิงรัวแบบไม่เลือก
ลงท้ายด้วยการเสียชีวิตของประชาชน 25ราย และอีก 800 รายได้รับบาดจ็บ

นักข่าวตกเป็นเป้าสังหาร

เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ภารกิจของทหารยังไม่ประสบความสำเร็จ
รูปภาพความโหดร้ายของทหารทำให้ผู้นำทหารรู้สึกกระวนกระวาย
พยานปากที่ 22 กล่าวว่า มีคำสั่งให้ทำทุกอย่าง
เพื่อไม่ให้มีการเผยแพร่ภาพและวิดีโอของเหตุการณ์
ซึ่งทำให้กรมทหารราบที่ 2 ต้อง “ตั้งเป้าทำร้ายนักข่าวที่เข้ามาในบริเวณดังกล่าว”
นอกจากนี้พยานยังระบุว่า
กองทัพได้รับคำสั่งให้ “ยิงทุกคนที่พยายามเคลื่อนย้ายศพ”

พวกเขา (พยาน) กล่าวว่าปฏิบัติการที่คล้ายกันนี้สำเร็จเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม
ซึ่งเป็นวันที่แยกราชประสงค์ถูกกวาดล้าง
รถถังได้พังเขาไปในรั้วที่ลุกโชนด้วยเปลวไฟของฝ่ายตรงข้ามในตอนเช้า
พลซุ่มยิงยิงลงมาจากดาดฟ้า
และทหารเข้าไปประจำการบนรางรถไฟฟ้า ไล่ให้ลุ่มคนเสื้อแดงเข้าไปอยู่ในลานวัด

พยานของทนายอัมสเตอร์ดัมระบุว่า
ทหารได้รับคำสั่งให้ยิงผู้ต้องสงสัยที่ถืออาวุธ
ซึ่งไม่ใช่อะไรนอกจากหนังสติ๊ก และให้สังหารแกนนำเสื้อแดงด้วย

มีประชาชนอย่างน้อย 14 รายเสียชีวิตในวันนั้น รวมถึงพยาบาลสองราย
และช่างภาพนักข่าวนายฟาบิโอ โปเลงกี ผู้ซึ่งส่งภาพให้สปีเกิ้ลเป็นประจำ

พยานปากที่ 22 ได้ระบุถึงข้อกล่าวหาที่ร้ายร้าง
โดยกล่าวว่าราว 17:45 น. หลังจากที่ทหารบุกเข้าไปในรั้วกั้นของคนเสื้อแดงรั้วสุดท้าย
และแกนนำเสื้อแดงได้มอบตัวกับตำรวจแล้ว
มีกลุ่มบุคคลร่วมกับทหารได้บุกเข้าไปในห้างเซ็นทรัลเวิร์ลและจุดไฟเผาห้าง
เพื่อเป็นหลักฐานแสดงถึงความโกรธแค้นของคนเสื้อแดง

อัมสเตอร์ดัมได้ว่าจ้างผู้เชียวชาญทางการทหาร โจ วิทตี้
ซึ่งเป็นทหารหน่วยรบพิเศษ
เพื่อเป็นทหารผู้เชี่ยวชาญในคดีนี้ หลังจากศึกษาปากคำให้การของพยาน
และวิดีโอเหตุการณ์ วิทตี้สรุปว่า
“กองทัพตั้งเป้าสังหารประชาชนที่ไม่มีอาวุธครั้งแล้วครั้งเล่า
ในช่วงวันที่ 10 เมษายนและ 19 พฤษภาคม 2553
ซึ่งไม่ใช่การใช้กำลังร้ายแรงตามหลักมาตราฐานของกฎการใช้กำลัง
แต่เป็นการใช้กำลังที่ไม่มีเหตุร้ายประชิดตัว อย่างไม่ชอยธรรม จงใจ
และเป็นการกระทำที่เป็นอาชญากรรม”

http://robertamsterdam.com/thai/?p=688