ส่งเสริมคนดีให้ได้ปกครองบ้านเมือง

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

Saturday, 29 January 2011

สัมภาษณ์พิเศษ โดย อริน เจียจันทร์พงษ์, พงศ์พิพัฒน์ บัญชานนท์

ที่มา มติชน



(ที่มา หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับประจำวันที่ 28 มกราคม 2554)



เพียง "คำถาม" ง่ายๆ แค่ว่า "คนเสื้อแดงเป็นลิ่วล้อทักษิณ และถูกจ้างให้มาชุมนุม" อย่างที่คนเขาพูดๆ กันจริงหรือไม่?

ได้นำทีมวิจัยของอาจารย์ "อภิชาติ สถิตนิรามัย" แห่งคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) บุกเข้าไปใน "พื้นที่สีแดง" หลายจังหวัด อาทิ จ.อุบลราชธานี นครปฐม เชียงใหม่ ฯลฯ ในการวิจัยเฟสแรก ช่วงต้นปี 2553

โดยพบ "คำตอบ" ที่สร้างความฮือฮาในแวดวงนักวิชาการ ที่ว่า "เสื้อแดงไม่ใช่คนจน แม้ส่วนใหญ่จะมีอาชีพรับจ้างและเป็นเกษตรกร แต่มีรายได้เฉลี่ยเดือนละ 17,000 บาท เหตุที่คนเสื้อแดงออกมาชุมนุม เนื่องจากความคับข้องใจ เรื่องความไม่เท่าเทียมทางการเมือง"

ล่าสุด "อภิชาติและคณะ" กลับไปเหยียบถิ่นเสื้อแดงถึง "รัง" ที่ จ.เชียงใหม่และลำพูน ต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา เพื่อทำการวิจัยเฟสที่สอง

ผลที่ได้คราวนี้ทำให้ "นักวิชาการ มธ." ตกใจ ถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นผ่านท่าทาง-แววตา-คำพูด ที่แสดงออกถึงความคับแค้น อันน่า ขนลุก!

เขาสรุป "พัฒนาการเสื้อแดง" ในเบื้องต้นจาก 4 สาเหตุคือ 1.กลุ่มคนที่เสพติดนโยบายที่จับต้องได้ของรัฐบาล "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี 2.กลุ่มคนที่ช็อคกับเหตุการณ์ 19 กันยายน 2549 และเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับการเมืองมากขึ้น 3.กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย(พธม.) ที่ปิดสนามบิน แต่ไม่ถูกจับ วาทกรรม "2 มาตรฐาน" จึงกลายเป็นคีย์เวิร์ด-หัวข้อสนทนาสำคัญ

และ 4.หลังเหตุการณ์เมษายน-พฤษภาคม 2553 ได้พบความเปลี่ยนแปลงอันน่าตกใจ คนเสื้อแดงเลิกด่าพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) และ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" นายกรัฐมนตรีแล้วเพราะรู้สึกเป็นแค่หุ่นเชิด ไปด่าคนที่อยู่เบื้องหลังแทน แต่ขณะเดียวกันมีแต่เสียงตัดพ้อว่า..คนตายตั้งเยอะ ทำไมไม่ลงมาช่วย เป็นที่มาของคีย์เวิร์คคำว่า "ตาสว่าง"

"เมื่อรัฐบาลออกนโยบายประชาวิวัฒน์มาก เขาจึงเอาไปเย้ยหยันกันว่าคิดได้แค่นี้เหรอ ขายไข่ชั่งกิโล เพราะประเด็นที่เขาสู้ตอนนี้คือประชาธิปไตย การเลือกตั้ง วันแมนวันโหวต ไม่ให้อำนาจนอกระบบเข้ามาแทรกแซง กำหนดผลการเลือกตั้ง สูงกว่านั้นหน่อยก็พูดถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการเมืองไทย จัดระบบความสัมพันธ์สถาบันต่างๆ ใหม่ โดยเฉพาะศาลที่เริ่มมีการพูดถึงระบบลูกขุนมากขึ้น"

อีกสิ่งที่ "ทีมค้นหาความจริง" พบคือความสัมพันธ์ระหว่าง "แดงรากหญ้า-แกนนำ นปช.-พรรคเพื่อไทย(พท.)-พ.ต.ท.ทักษิณ" ที่เริ่มถอยห่างจากกันมากขึ้น จึงไม่น่าแปลกใจว่าเหตุใด เมื่อแกนนำ นปช.นัดชุมนุมใหญ่ จะมีแต่ "แดงเมืองหลวง+ปริมณฑล" เท่านั้นที่มาร่วมวง

"ใน จ.เชียงใหม่ นอกจากกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ที่เป็นฐานเสียงของ พท.แล้ว ที่เหลือแทบจะเป็นอิสระจากส่วนกลาง หลายคนบอกว่า พ.ต.ท.ทักษิณเป็นแค่ผู้ร่วมขบวนการ เป็นผู้สนับสนุนทางการเงิน ขณะที่หลายคนบอกไม่ต้องเอา พ.ต.ท.ทักษิณกลับมาแล้ว มาสู้ให้การเลือกตั้งบริสุทธิ์ยุติธรรมดีกว่า แต่ส่วนใหญ่คับแค้นใจที่ถูกปราบ"

"อภิชาติ" ยังพบว่า เสื้อแดงแทบทุกคนที่ได้พบ แม้จะอยู่คนละหมู่บ้าน-ดอย-ภูเขา แต่มีพฤติกรรมร่วมอย่างหนึ่งคือ ด่าแกนนำ นปช.ว่ารู้อยู่แล้วว่าทหารจะสลาย ทำไมไม่ยอมถอย และด่า ส.ส.พท.ว่านอกจากชวนให้ไปชุมนุม ก็ไม่เคยมาทำอะไรให้เลย และมีประโยชน์อย่างเดียว คือไถตังค์มาตั้งเวทีได้!

นอกจากนี้ ยังมีการจัดโครงสร้างองค์กรใหม่ที่แตกต่างจากต้นปีที่ 2553 อย่างสิ้นเชิง มีการจัดตั้งแกนนำระดับจังหวัด-อำเภอ-หมู่บ้าน ที่จะทำกิจกรรม ร่วมแบ่งปันทรัพยากร เช่น เครื่องเสียง

ทว่าแต่ละกลุ่มจะรวมตัวกันอย่างหลวมๆ โดยสมาชิกกลุ่มสามารถไปร่วมกิจกรรมกับกลุ่มอื่นๆ ได้ หากกลุ่มไหนมีสถานีวิทยุก็จะมีสมาชิกมากหน่อย

"แต่ละกลุ่มจะประกอบด้วยคนท้องถิ่นหลายระดับ ทั้งอดีตครู สหายเก่า คหบดี แม่ค้า ฯลฯ โดยมีแกนนำของตัวเอง ซึ่งมักเป็นคนที่มีอาชีพอิสระ เป็นพ่อค้าระดับกลางหรือรายย่อย เช่น อำเภอหนึ่งที่ผมไป ประธานกลุ่มเป็นเจ้าของร้านขายของชำในหมู่บ้าน โดยมีครูที่เออร์ลี่รีไทร์ออกมาช่วย คนพวกมีตังค์ มีเวลา คิดเองได้ เขาจะจัดกิจกรรมของตัวเอง และไม่เห็นเหตุผลว่าทำไมจะต้องไปอยู่ภายใต้ พท."

สำหรับวิธีติดต่อสื่อสารระหว่างกลุ่ม นอกจากความสัมพันธ์ส่วนตัว สื่อที่ฮิตในหมู่ "แดงรากหญ้า" คืออินเตอร์เน็ต ที่แม้พ่อแก่แม่เฒ่าจะเล่นไม่เป็น แต่ลูกหลานในเมืองจะจัดพิมพ์ข้อมูลมาให้ นอกจากนี้ยังมี "ซีดี" ที่ปั๊มกันเอง รวมถึงสื่อกระดาษจำพวก "ใบปลิว" ที่ซีร็อกซ์และโรเนียวกันเอง ซึ่งถูกใช้อย่างแพร่หลาย

เมื่อถามถึงความเชื่อมโยงกับ นปช.ส่วนกลาง-พท. "อภิชาติ" บอกว่าเท่าที่ได้คุย เสื้อแดงส่วนใหญ่จะใช้คำว่า "แสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง" ถ้าแกนนำ นปช.เรียกชุมนุมใหญ่ แล้วประเด็นน่าสนใจ ก็อาจจะเดินทางไปร่วม

แต่ที่แน่ๆ คือไม่ว่าจะเป็น "ธิดา ถาวรเศรษฐ์" รักษาการประธาน นปช. หรือ "จตุพร พรหมพันธุ์" ส.ส.สัดส่วน พท.แกนนำ นปช. ไม่สามารถสั่ง "แดงภูธร" ได้

ส่วนในการเลือกตั้งที่ พท. ชุลมุนอยู่กับการปรับยุทธศาสตร์ "ก้าวข้าม" หรือ "ก้าวคู่" พ.ต.ท.ทักษิณนั้น เขามองว่าเป็นการเถียงกันในเรื่องที่ไม่เป็นประโยชน์ เพราะอย่างไรคนเสื้อแดงก็ยังเลือก ส.ส.พท.อยู่ ทั้งที่อาจจะไม่ชอบ หรือด่า ส.ส.พท.ด้วยซ้ำ แต่ที่เลือกเพราะไม่มีตัวเลือกอื่น เลือกเพราะอยู่ตรงข้าม ปชป.แค่นั้น

ส่วนเสียงลือเสียงเล่าอ้างเรื่อง "ตำรวจมะเขือเทศ" และ "ทหารแตงโม" คณะของ "อภิชาติ" ยอมรับว่ามีจำนวนมาก โดยเฉพาะในระดับล่างๆ ซึ่งคนเหล่านี้จะทำหน้าที่เฝ้าเวทีปราศรัย และช่วยตรวจสอบความเคลื่อนไหวของฝ่ายรัฐก่อนแจ้งข่าวสารให้คนเสื้อแดง

"ทีมวิจัย"ยังสอบถามความเห็นของประชาชนใน"พื้นที่สีแดง" ที่มีต่อสีเขียว-กองทัพ หลังกองทัพภาคที่ 3 ส่งทหารไปเคาะประตูบ้าน เพื่อชี้แจง-ทำความเข้าใจ หวัง "สลายความเชื่อ" ฝังหัวคนกลุ่มใหญ่

ทว่า คำตอบจากอาจารย์ มธ.อาจทำให้บรรดา "นายพล" ผิดหวัง เมื่อชาวบ้านส่วนใหญ่ คิดว่าทหารเข้าไปสืบข่าว-เฝ้าระวัง-ติดตามความเคลื่อนไหวฝ่ายตรงข้าม ที่สำคัญคือข่มขู่ประชาชนมากกว่า เพราะมีการเรียกคนไปคุยแล้วให้เงินคนละพันบาท พร้อมบอกว่าถ้านักการเมืองเรียกก็อย่าไปร่วมชุมนุม ทหารเข้าไปด้วยทัศนคติแบบนี้ คือคิดว่าเขาไปชุมนุมเพราะถูกซื้อ

เหล่านี้คือ "ตัวตน" ของ "คนเสื้อแดง" ที่ "ทีมวิจัย" ค้นพบ ท่ามกลาง "มายาคติ" ที่ชนชั้นนำ-ผู้มีอำนาจพยายามชี้ชวนให้สังคมเชื่อว่า คนเหล่านั้นเป็นคนที่อยู่ในวัฏจักรโง่-จน-เจ็บ เป็นลิ่วล้อทักษิณ เป็นม็อบรับจ้าง เป็นพวกก่อการร้าย เผาบ้านเผาเมือง ไร้การศึกษา

เป็น "คนเสื้อแดงสายพันธุ์ใหม่" ที่แปลงดีเอ็นเอสมบูรณ์ในปี 2554!!!