ภูมิใจไทย-โดนเข้าจนได้!!
สถานการณ์การเมืองในขณะนี้ ใครไม่แน่จริง ประสาทไม่แข็งพอ มีหวังประสาทกินเป้นรายๆไปอย่างแน่นอน... โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่นั่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในเวลานี้
กว่าจะได้มาเป็นนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต้องฝ่าฟันมากมาย โดยเฉพาะข้อวิพากษ์ที่ว่า ขึ้นมาดำรงตำแหน่งโดยขาดความสง่างาม เพราะเป็นการแย่งซีน แย่งมือผู้สนับสนุนโดยอาศัยขั้วอำนาจและขั้วทหารเป็นผู้กำกับบท
แต่เพราะความอึด เพราะความเชื่อมั่น ทำให้ใครจะวิพากษ์วิจารณ์อย่างไร นายอภิสิทธิ์ ก็กัดฟันเป็นนายกฯจนขีดความเชื่อมั่นพุ่งสูงขึ้นชนิดที่ พร้อมจะเป็นนายกฯต่อสมัยที่ 2 อีกสมัยด้วยซ้ำ
แต่อย่าคิดว่านายอภิสิทธิ์ ไม่มีแรงกดดัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงนี้ โค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง ดูเหมือนสารพัดเรื่องราวเกิดขึ้นราวกับเห็ดหน้าฝน ถาโถมเข้ามาทั้งศึกนอกศึกใน รวมแม้กระทั่งภัยธรรมชาติ
น้ำท่วมหนักสาหัสขนาดนี้ แต่เพราะการเมืองมะรุมมะตุ้ม นายอภิสิทธิ์จึงยังไม่ปลอดโปร่งพอที่จะไปให้กำลังใจผู้ประสบภัยน้ำท่วม...
เพราะลำพัง 2 เรื่องใหญ่ คือเรื่องพรรคร่วมรัฐบาลที่ชื่อ พรรคภูมิใจไทย กับเรื่องปัญหาภายในคือคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ เวลานี้ก็แทบจะไม่มีเวลาปลอดโปร่งแล้ว
เพราะกรณีพรรคภูมิใจไทย ที่มีนายเนวิน ชิดชอบ เป็นซีอีโอใหญ่ นั้นเป็นที่จับตามองของสังคมมาโดยตลอด และพลอยทำให้เกิดเครื่องหมายคำถามตามมาถึงพรรคประชาธิปัตย์ไปด้วย
เป็นพรรคที่มีโครงการเยอะ และแทบทุกโครงการมีเรื่องฉาวโฉ่บ้าง อื้ออึงบ้างมาโดยตลอด แม้แต่กระทั่งการจะตั้งปลัดกระทรวงมหาดไทย ก็ยังกลายเป็นปัญหาขึ้นมาอีก เพราะกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)ชี้มูลว่ากรณีเช่าระบบคอมพิวเตอร์กระทรวง มหาดไทยวงเงิน 3.49 พันล้านบาทส่อทุจริต
และระบุว่านายมงคล สุระสัจจะ อธิบดีกรมการปกครอง ว่าที่ปลัดกระทรวงมหาดไทยมีส่วนเกี่ยวข้อง
จึงได้ส่งเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)ดำเนินการต่อ
กระเทือนพรรคภูมิใจไทยที่ส่งนายมงคลเข้าประกวดโดยตรง
แม้ว่าสุดท้ายแล้วนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จะสั่งการให้กระทรวงมีการเจรจายกเลิกสัญญากับบริษัทคู่สัญญาให้เช่าระบบ คอมพิวเตอร์จัดทำบัตรประจำตัวประชาชน โดยได้แจ้งให้บริษัทได้รับทราบแล้ว และจะเชิญบริษัทมาปรึกษาในวันนี้ ( 18 ตุลาคม) เวลา 14.00 น.
รวมทั้งนายมงคล ก็ออกมาประกาศแล้วว่าไม่มีความทะเยอทะยาน จุดสูงสุดของชีวิตแค่ได้เป็นปลัดอำเภอ นายอำเภอ ก็มากพอแล้ว และไม่ได้ยึดติดตำแหน่ง
ดังนั้นแม้มีมติครม.แต่งตั้งตนเป็นปลัดกระทรวงไปแล้ว แต่ก็ได้ทำหนังสือแจ้งให้รัฐมนตรีว่าการรับทราบ ว่าจะไม่ขอรับตำแหน่งปลัดกระทรวงมหาดไทย
เท่ากับรัฐบาลนี้กำลังสร้างรูปแบบในการที่ข้าราชการสามารถขอไม่รับ ตำแหน่งที่ ครม. มีการแต่งตั้งได้ เป็นครั้งที่ 2 แล้ว ... ต่อไปหากมีครั้งที่ 3 ครั้งที่ 4 ก็ไม่น่าแปลกใจ แต่ระบบราชการไทยก็คงเละ หากผู้ใต้บังคับบัญชาสามารถที่จะขอปฏิเสธไม่รับตำแหน่งได้แบบนี้
และแม้ว่านายมงคลจะพยายามถอดสลักด้วยการไม่รับตำแหน่งปลัดกระทรวงมหาดไทย แต่ดูเหมือนแรงเหวี่ยงยังคงพุ่งใส่นายชวรัตน์ ว่าสมควรแสดงความรับผิดชอบต่อกรณีที่เกิดขึ้น
น.พ.ภูมินทร์ ลีธีระประเสริฐ โฆษกวอร์รูมพรรคเพื่อแผ่นดิน ถึงกับออกมาเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีดำเนินการปรับรัฐมนตรีว่าการกระทรวง มหาดไทยออกจากตำแหน่งทันที
โดยให้เหตุผลว่า มาจาก 2 เหตุการณ์ที่ชัดเจน ซึ่งท้าทายกฎเหล็ก 9ข้อของนายกรัฐมนตรี คือ 1.กรณีที่ป.ป.ช.สรุปแจ้งข้อกล่าวหาทุจริตสอบนายอำเภอ และ2 กรณีดีเอสไอส่งเรื่องทุจริตเช่าคอมพิวเตอร์ ซึ่งอย่างน้อยได้แสดงให้เห็นว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยที่กำกับ ดูแลกระทรวงนี้ ไร้ซึ่งประสิทธิภาพปล่อยให้มีการทุจริตเกิดขึ้นในกระทรวง มิหนำซ้ำคำให้การของข้าราชการยังพาดพิงไปถึงผู้มีอำนาจในกระทรวงว่าเป็นผู้ สั่งการ จึงเป็นใบเสร็จที่ชัดเจนแล้วนี่คือใบเสร็จไม่ต้องรอให้ศาลตัดสิน
น.พ.ภูมินทร์ ระบุว่า ถึงเวลาแล้วที่จะต้องปรับเปลี่ยนรัฐมนตรีในกระทรวงมหาดไทย เป็นใบเสร็จที่ยืนยันการตัดสินใจของพรรคเพื่อแผ่นดินที่ยกมือไม่ไว้วางใจ รัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทย
งานนี้พรรคภูมิใจไทยอ่วม จนทำให้เกิดอาการกับพรรคประชาธิปัตย์เป็นพิเศษ ว่าดูเหมือนจะเล่นบทพระเอกแล้วโยนบทผู้ร้ายให้แต่พรรคภูมิใจไทยพรรคเดียว
ทำไมไม่ตรวจสอบพรรคประชาธิปัตย์กันบ้าง???
แถมเปรยด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจว่า แบบนี้จะอยู่กันยืดได้อย่างไร
ใครจะเชื่อว่างานนี้เจอ นายอภิสิทธิ์ สวนเปรี้ยงตรงๆว่า ทุกคนมีหน้าที่ตรวจสอบ และทุกพรรคการเมืองมีหน้าที่ตรวจสอบเช่นกัน ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาด ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์มีหน้าที่ตรวจสอบทุกพรรครวมทั้งพรรคตัวเองด้วย ฉะนั้นจึงไม่ได้ตื่นเต้นอะไร
“ถ้าเข้ามาเป็นพรรคร่วมแล้วอึดอัดอย่างนั้นอย่างนี้ ผมก็ฝากไปบอกด้วยว่า ถ้าอึดอัด ให้บอกมาเป็นทางการ จะปรับออกให้ อึดอัดไม่ต้องอยู่ด้วยกัน ถ้าจะอยู่ด้วยกันต้องทำตามกติการ่วมกันตามกฎเหล็ก 9 ข้อ ชอบมีอยู่เรื่อยๆว่า พรรคประชาธิปัตย์ไปกลั่นแกล้ง ไม่มี ถ้าคิดว่ามีขอให้บอกมา จะได้ไม่ต้องอยู่ด้วยกัน” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ย้ำซ้ำถึง 2 ครั้งว่า จริงแล้วไม่ได้มีปัญหาอะไรกับใคร แต่ขอบอกว่า ถ้าคนที่ชอบเป็นแหล่งข่าวบอกว่า อึดอัด ก็ให้บอกมาเป็นทางการ จะได้แก้ปัญหา ไม่ต้องอึดอัดกันต่อไป ก็แค่นั้น
“ถ้าคนไม่อยากอยู่ก็ไม่บังคับให้อยู่ ไม่มีปัญหา”
เล่นกันตรงๆแรงๆแบบนี้ จึงไม่แปลกที่พรรคภูมิใจไทยจะหารือกันเครียด และออกมาทำนองว่านายเนวินให้อดทน ปล่อยให้พรรคประชาธิปัตย์เล่นบทพระเอกไป
ชะรอยนายเนวินอ่านจะอ่านขาดว่า ช่วงนี้นายอภิสิทธิ์ คงมีแรงกดดันหนักเรื่องคดียุบพรรค เพราะคดีงวดเข้ามาทุกที แถมยังปรากฏคลิปออกมาให้สังคมตั้งประเด็นสงสัยกันอย่างหนักว่า ถ้าจะว่ามีการจัดฉาก แล้วคนของประชาธิปัตย์เข้าไปทำไม
เพราะตามมารยาทของนักกฎหมายย่อมรู้ดีว่า การพบปะระหว่างคณะผู้พิจารณาคดี กับจำเลยในคดีนั้น ถือเป็นเรื่องที่ล่อแหลมอย่างมาก เป็นสิ่งที่ไม่พึงกระทำ ยิ่งเป็นการพบปะในลักษณะที่เป็นการเฉพาะเช่นนี้
ภาษาพระก็ต้องบอกว่า การพบปะกับบุคลลที่ไม่พึงพบปะ 2 ต่อ 2 ในที่ลับหูลับตา ถือเป็น “โลกะวัชชะ” เป็นสิ่งที่พึงติเตียน ถือว่าต้องอาบัติ
ฉะนั้นแน่นอนว่า เจอคลิปแบบนี้ออกมาในช่วงเวลาสำคัญ แม้จะออกมาแถลงว่าถูกหลอก แต่ประชาชนก็คิดกันได้สารพัดมุม ซึ่งแน่นอนว่าไม่ว่าอย่างไรพรรคประชาธิปัตย์ก็เหนื่อย
ก็ขนาดนางสดศรี สัตยธรรม กรรมการการเลือกตั้ง ด้านกิจการพรรคการเมือง ซึ่งไปมีชื่ออยู่ในคลิปยุบพรรคประชาธิปัตย์ ยังพลอยเหนื่อยไปด้วย โดยยืนยันว่า เรื่องที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของ กกต. ก็ได้ให้สัมภาษณ์มาโดยตลอด ว่าเริ่มต้นเป็นมาอย่างไร
ดังนั้นหากศาลจะออกหมายเรียก ก็คงจะต้องไปเบิกความต่อศาล เกี่ยวกับขั้นตอนการลงคะแนนเสียงยุบพรรคประชาธิปัตย์ โดยเรื่องดังกล่าวมีหลักฐานข้อเท็จจริงอยู่แล้ว และถือว่าไม่ได้ปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับขั้นตอนการทำงานของ กกต. แต่อย่างใด
ซึ่งทั้งหมดได้ทำรายงานการประชุมไว้อย่างชัดเจน
ส่วนกรณีที่จะมีการเชิญ กกต.ทั้ง 5 คนมา ให้การต่อศาลหรือไม่นั้น นางสดศรี กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องขึ้นอยู่ที่ศาลว่าจะเรียกทั้งหมดไปให้การหรือไม่ แต่หากศาลออกหมายเรียก คงต้องทำไปตามกระบวนการ หากไม่ไปคงจะเป็นการขัดต่อศาล
อย่างไรก็ตาม มั่นใจว่า กกต.มีข้อเท็จจริงที่ชัดเจนอยู่แล้ว
นอกจากนี้ กรรมการการเลือกตั้ง ด้านกิจการพรรคการเมือง ยังกล่าวถึงคลิปดังกล่าวจะมีผลต่อคดียุบพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่ ว่า การพิจารณาวินิจฉัยของศาล และ กกต. นั้นจะต้องให้คำตอบกับประชาชนได้
ส่วนผลจะออกมาเป็นอย่างไร ศาลก็คงต้องชี้แจงถึงเหตุผลได้เช่นกัน
งานนี้พรรคประชาธิปัตย์จะไม่เหนื่อยได้อย่างไร
ฉะนั้นหากช่วงนี้นายอภิสิทธิ์ และคนในพรรคจะเครียดเป็นพิเศษ พรรคภูมิใจไทย นายเนวิน และนายชวรัตน์ ก็ควรจะต้องเข้าใจ
และควรจะต้องทำใจ!!