คำชี้แจง: ข้อเขียนนี้ ผมเขียนในลักษณะที่ทำให้สามารถอ่านโดดๆ มีความสมบูรณ์ในตัวเองได้ แต่ถ้าต้องการทราบความเป็นมา กรุณาอ่านกระทู้นี้ก่อน
ชื่อบทความเดิม:
ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ให้สัมภาษณ์ The Observer พฤษภาคม 2500 : "หากต้องการรู้ความจริงเกี่ยวกับกรณีสวรรคตควรไปถามพระมหากษัตริย์ไทยรัชกาลปัจจุบัน" - ความพยายามรื้อฟื้นคดีสวรรคตของปรีดี-จอมพล ป ที่ล้มเหลว
เดือนพฤษภาคม 2500 ทูตอังกฤษประจำสิงคโปร์ ได้รายงานไปยังลอนดอนว่า ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ได้ให้สัมภาษณ์นักข่าว นสพ The Observer ของอังกฤษที่นั่นว่า "หากนักข่าวต้องการรู้ความจริงเกี่ยวกับกรณีสวรรคตควรไปถามพระมหากษัตริย์ไทยรัชกาลปัจจุบัน"
(อ้างใน ณัฐพล ใจจริง, "การเมืองไทยสมัยรัฐบาลจอมพล ป พิบูลสงคราม ภายใต้ระเบียบโลกของสหรัฐอเมริกา (พ.ศ. 2491-2500)", วิทยานิพนธ์ปริญญาเอก คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2553, หน้า 218 ผมเข้าใจว่า อันที่จริง ท่านผู้หญิงพูนศุขน่าจะให้สัมภาษณ์ The Observer ไว้ตั้งแต่ช่วงเดือนมีนาคมหรือเมษายน เพราะในต้นเดือนเมษายนนั้น เธอได้เดินทางมาถึงไทย การสัมภาษณ์น่าจะทำในช่วงที่เดินทางผ่านสิงคโปร์ คุณวิมลพรรณ ปีตธวัชชัย ได้บอกผมว่า เธอได้ค้นคว้าตรวจสอบ The Observer ในช่วงนั้น แต่ไม่พบรายงานการสัมภาษณ์นี้ เธอจึงเดาว่า ทางการอังกฤษอาจจะขอร้องให้ The Observer ยับยั้งการตีพิมพ์รายงานการสัมภาษณ์ดังกล่าวได้ทัน อย่างไรก็ตาม ดร.ณัฐพล ใจจริง บอกผมว่า รายงานของทูตอังกฤษ อ้างถึงคำสัมภาษณ์ที่ตีพิมพ์ไปใน The Observer แล้ว)
ท่านผู้หญิงพูนศุข หมายความว่าอย่างไร?
ผมขออนุญาตไม่ตีความหรืออธิบายประโยคดังกล่าวของท่านผู้หญิงพูนศุขโดยตรง แต่จะขออธิบายว่า คำสัมภาษณ์ประโยคเดียวนี้ เกิดขึ้นภายใต้บริบทอะไร ที่สำคัญคือ จะชี้ให้เห็นว่า คำสัมภาษณ์นี้เป็นหลักฐานยืนยันอย่างชัดเจนถึงบางเรื่องอย่างไร
เช้ามืดยังไม่ทันรุ่งสางของวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2498 จำเลย 3 คนในคดีสวรรคต ได้ถูกนำตัวไปประหารชีวิต มีข่าวร่ำลือออกมาว่า ในนาทีสุดท้ายก่อนจะถูกนำตัวเข้าหลักประหารนั้น ชิต สิงหเสนี ซึ่งเป็นมหาดเล็กที่อยู่หน้าห้องบรรทมในหลวงอานันท์ และเป็นคนแรกที่ถูกตัดสินประหารชีวิตตั้งแต่ในศาลชั้นต้น (ซึ่งปล่อยอีก 2 จำเลย) ได้พูดคุยแบบสองต่อสอง กับเผ่า ศรียานนท์ อธิบดีตำรวจ มือขวาของจอมพล ป ที่ไปสังเกตการณ์การประหารชีวิต โดยที่ ชิต ได้ถือโอกาสที่ตัวเองกำลังจะถูกประหาร เล่า "ความลับ" ของ "กรณีสวรรคต" ให้เผ่าฟัง ว่าเกิดอะไรขึ้นจริงๆ ในเช้าวันนั้น มีเสียงลือว่า เผ่าได้ทำบันทึกเรื่องที่ชิตเล่าไว้ด้วย (ดูบทความของผมเรื่อง "50 ปี การประหารชีวิต 17 กุมภาพันธ์ 2498", ฟ้าเดียวกัน ปีที่ 3 ฉบับที่ 2 เมษายน-มิถุนายน 2548, หน้า 78 หรือดาวน์โหลดบทความในรูป pdf จากเว็บ นิติราษฎร์ ที่นี่)
ขณะนั้น การเมืองไทยกำลัง "ระอุ" ด้วยความขัดแย้งระหว่างผู้เป็นใหญ่ทางการเมืองแบบ "สามเส้า" (triumvirate) คือ ระหว่างจอมพล ป พิบูลสงคราม, เผ่า ศรียานนท์ และ สฤษดิ์ ธนะรัชต์ อันที่จริง ถ้าพูดอย่างเข้มงวดแล้ว จอมพล ป แม้จะไม่ถึงกับไว้วางใจ เผ่า แบบสนิทเต็มร้อย (พุฒิ บูรณะสมภพ มือขวาคนหนึ่งของเผ่า เล่าให้ผมฟังว่า เผ่า เคยเสนอจอมพล ป จะ "เก็บ" สฤษดิ์ ให้ แต่จอมพล ไม่ยอม เพราะในที่สุด ก็ต้องการสฤษดิ์ ไว้คานอำนาจเผ่าเช่นกัน) แต่โดยรวมแล้ว จอมพล ป กับ เผ่า มีลักษณะเป็นพันธมิตรใกล้ชิด เรียกได้ว่า เป็นขั้วหรือกลุ่มเดียวกัน ที่บางครั้งเรียกกันว่า กลุ่ม "พิบูล-เผ่า" ในขณะที่ สฤษดิ์ แยกออกมาเป็นอีกขั้วหนึ่ง
สฤษดิ์ ในขณะนั้น เล่นการเมืองในลักษณะ "ตีสองหน้า" คือ หน้าหนึ่ง ก็ทำตัว "ก้าวหน้า" คบหาสมาคมและสนับสนุนฝ่ายซ้าย (ที่อยู่ใต้การนำของ พคท.) ในขณะนั้น นักเขียนฝ่ายซ้ายชื่อดังอย่าง จิตร ภูมิศักดิ์ และอีกหลายคน เรียกได้ว่า เป็น "ลูกจ้าง" ให้สฤษดิ์ โดยปริยาย เพราะเป็นนักเขียนประจำของ "สารเสรี" หนังสือพิมพ์ที่สฤษดิ์ออกทุนทำ
พร้อมกันนั้น สฤษดิ์ ก็สร้างสายสัมพันธ์กับกลุ่มการเมืองที่เรียกกันในสมัยนั้นว่าพวก "ศักดินา" โดยมีพรรคประชาธิปัตย์ของควง อภัยวงศ์ และพี่น้องปราโมช (เสนีย์, คึกฤทธิ์) เป็นตัวแทน "ออกหน้า" ที่สำคัญ แต่ยังมีราชวงศ์ชั้นสูง (พวกเจ้าและขุนนางเก่าจากสมัยก่อน 2475) อีกหลายคน ที่สำคัญที่สุดคือ พระองค์เจ้าธานีนิวัต ที่เป็นประธานองคมนตรี เคลื่อนไหวแบบหลบๆ ซ่อนๆ อยู่ด้วย
ถึงปี 2499 จอมพล ป และเผ่า เริ่มตระหนักว่า ไม่สามารถรับมือกับพันธมิตรสฤษดิ์-ศักดินา โดยเฉพาะการเข้มแข็งทางการเมืองที่มากขึ้นของกลุ่มศักดินา อันมีปัจจัยสำคัญประการหนึ่งคือ เป็นครั้งแรกในระยะประมาณ 20 ปีหลังการปฏิวัติ 2475 และการสละราชย์ของรัชกาลที่ 7 ที่ประเทศไทยมีพระมหากษัตริย์ประทับในประเทศอย่างถาวร (ในหลวงองค์ปัจจุบันทรงเสด็จกลับประเทศไทยอย่างถาวรในช่วงสิ้นปี 2494) และบทบาทที่ดูเหมือนจะเพิ่มมากขึ้นของสถาบันกษัตริย์และองค์พระมหากษัตริย์ เอง เช่น ในวันกองทัพบก 25 มกราคม 2499 ในหลวงทรงมีพระราชดำรัสวิพากษ์การที่ทหาร - คือกลุ่มของจอมพล ป - เข้ามามีบทบาททางการเมือง ซึ่งเป็นพระราชดำรัสที่ฉีกประเพณีการปกครองแบบรัฐธรรมนูญที่สร้างขึ้นจากการ ปฏิวัติ 2475 ที่พระมหากษัตริย์ต้องไม่ทรงมีพระราชดำรัสเกี่ยวกับการเมืองในที่สาธารณะ (ดร.หยุด แสงอุทัย นักกฎหมายมือหนึ่งของรัฐบาลในขณะนั้น ได้ออกปาฐกถาเชิงวิพากษ์วิจารณ์พระราชดำรัสนี้ จนถูกกล่าวหาว่า "หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ")
ในปีนั้น จอมพล ป และ เผ่า จึงตัดสินใจหาทางติดต่อกับปรีดีที่ลี้ภัยอยู่ในประเทศจีน เพื่อชักชวนให้ปรีดีกลับประเทศ เพื่อร่วมมือกันต่อสู้กับกลุ่มศักดินา โดย "อาวุธ" สำคัญที่จะร่วมกันใช้ในการต่อสู้นี้ คือ การรื้อฟื้นคดีสวรรคตขึ้นใหม่ (ซึ่งสันนิษฐานได้ว่า การบอกเล่าก่อนถูกประหารของชิต ต่อเผ่า คงจะเป็นองค์ประกอบที่สำคัญสำหรับการรื้อฟื้นนี้)
ในช่วงปี 2525 ผมได้มีโอกาสสัมภาษณ์คุณชิต เวชประสิทธิ์ ผู้ได้ชื่อว่าเป็น "ลูกศิษย์ปรีดี" คนหนึ่ง และเป็นอดีตหนึ่งในคณะทนายจำเลยคดีสวรรคต คุณชิตเล่าว่า จอมพล ป ได้ฝากข้อเสนอเรื่องร่วมมือกันสู้ศักดินา (ด้วยคดีสวรรคต) ให้เขาและ "ลูกศิษย์อาจารย์" อีกคนหนึ่งคือ ลิ่วละล่อง บุนนาค นำไปปรึกษาปรีดีที่จีน ตอนที่คุณชิตเล่าเรื่องนี้ให้ผมฟัง ข้อมูลนี้เป็นเรื่องที่แทบไม่มีคนรู้ ต่อมาในช่วงประมาณปี 2543 จึงมีผู้เผยแพร่จดหมายที่ปรีดีเขียนตอบสังข์ พัธโนทัย คนสนิทของจอมพล ป. ลงวันที่ 23 ธันวาคม 2499 (เข้าใจว่า จอมพล ป คงใช้ให้สังข์เขียนเป็นจดหมายถึงปรีดี ฝากชิตและลิ่วละล่องไปด้วย ปรีดีจึงเขียนเป็นจดหมายตอบมายังสังข์) ในจดหมาย ปรีดีกล่าวตอนหนึ่งว่า "ผม เห็นว่าคุณได้บำเพ็ญบุญกุศลอย่างแรงในการที่คุณได้แจ้งให้ผมทราบถึงบันทึก ของคุณเผ่า [ที่]ได้สอบถามปากคำคุณเฉลียว ชิต บุศย์ ก่อนถูกยิงเป้า ที่ยืนยันว่า ผู้บริสุทธิ์ทั้งสามรวมทั้่งผมไม่ได้มีส่วนพัวพันในกรณีย์สวรรคต" (ดูบทความ "50 ปี การประหารชีวิต" ของผมที่อ้างข้างต้น และ "ปรีดี พนมยงค์, จอมพล ป, กรณีสวรรคต และรัฐประหาร 2500" ใน ประวัติศาสตร์ที่เพิ่งสร้าง หน้า 30-35 ซึ่งผมได้เล่าเรื่องนี้เป็นครั้งแรกในปี 2539)
ช่วงสิ้นปี 2499 ถึงกลางปี 2500 มีข่าวลือแพร่สะพัดในพระนครเรื่องรัฐบาลจอมพล ป จะอนุญาตให้ปรีดีเดินทางกลับไทยเพื่อมาสู้คดีสวรรคต สถานทูตอเมริกันในไทยได้รายงานเรื่องนี้ไปยังวอชิงตันหลายครั้ง วอชิงตันแสดงความไม่พอใจและเตือนจอมพล ป ว่า สหรัฐไม่เห็นด้วยกับการให้ปรีดีกลับไทยเพื่อรื้อฟื้นคดีสวรรคตซึ่งจะกระทบ กระเทือนต่อสถาบันกษัตริย์และเสถียรภาพทางการเมืองของไทย อย่างเป็นทางการจอมพลบอกวอชิงตันว่ารัฐบาลของเขาไม่ได้มีแผนการดังกล่าว แต่ข่าวลือก็ยังคงมีอยู่ และเข้มข้นสูงสุดในช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน 2500 ทูตอเมริกันรายงานด้วยว่า แผนการจับมือกับปรีดีของจอมพลและเผ่า สร้างความไม่พอใจให้กับพระมหากษัตริย์ไทยอย่างมาก (ดูวิทยานิพนธ์ของณัฐพล ใจจริง บทที่ 8 หน้า 197-221)
เรื่องนี้มาประจวบกับความตึงเครียดระหว่างรัฐบาลจอมพล ป กับสถาบันกษัตริย์ที่ปะทุขึ้นอย่างรุนแรงในช่วงเดือนพฤษภาคม เมื่อในหลวงภูมิพลที่เดิมทรงมีกำหนดการจะเสด็จไปในงานฉลอง 25 พุทธศตวรรษที่รัฐบาลจัดขึ้นอย่างมโหฬารในเดือนนั้น ทรงงดการเสด็จอย่างกระทันหัน โดยทรงแจ้งกับรัฐบาลว่ามีพระอาการประชวร แต่ขณะเดียวกัน ทรงบอกทูตอังกฤษเป็นการส่วนพระองค์ว่า พระองค์มิได้ประชวรจนเสด็จไม่ได้ แต่ที่ไม่เสด็จเพราะไม่พอพระทัยที่รูปแบบการจัดงานของรัฐบาลออกมาในลักษณะ ที่ทำให้รัฐบาลมีความสำคัญเทียบเท่าหรือมากกว่าพระองค์ ทรงเห็นว่า รูปแบบการจัดงานควรออกมาในลักษณะที่ให้พระองค์เป็นศูนย์กลาง (ตัวบทรายงานพระราชดำรัสที่ทรงเล่าแก่ทูตอังกฤษในประเด็นนี้คือ The King … clearly resented the fact that it has been drawn up with a view to making the Government as important if not more so than the King himself around whom of course the celebration should have been centred. ดูคำแปลรายงานฉบับเต็มของทูตอังกฤษนี้ของผม พร้อมเอกสารแลกเปลี่ยนระหว่างรัฐบาลกับราชสำนักในเรื่องในหลวงทรงประชวรจริงหรือไม่ ได้ที่นี่)
ในเดือนมิถุนายน (ซึ่งเป็นทั้งช่วงครบรอบการสวรรคตของในหลวงอานันท์และการปฏิวัติ 2475) ท่ามกลางข่าวลือเรื่องปรีดีจะกลับและจะมีการรื้อฟื้นคดีสวรรคตนี้ ก็เกิดกรณที่นายสง่า เนื่องนิยม เจ้าของฉายา “ช้างงาแดง” ซึ่งขณะนั้นเป็นสมาชิกพรรค “ศรีอาริยเมตไตรย์” ของ เฉียบ ชัยสงค์ ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็น “ลูกศิษย์ปรีดี” คนหนึ่ง และเพิ่งเดินทางกลับจากการลี้ภัยในจีนร่วมกับปรีดีในปี 2499 (หมายถึงเฉียบ ไม่ใช่สง่า ตัวสง่าเองนั้น ผมไม่แน่ใจว่า เป็นพวกปรีดีแค่ไหน) ขึ้นปราศรัย หรือ “ไฮด์ปาร์ค” ที่สนามหลวง พาดพิงถึงกรณีสวรรคตอย่างล่อแหลมมากๆ ปรากฏว่า พรรคประชาธิปัตย์ได้ยกคำปราศรัยของสง่ามาโจมตีว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการทางกฎหมายกับสง่า แต่รัฐบาลจอมพล ป และเผ่า กลับไม่ทำอะไร นอกจากปรับเรื่องการใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาตเท่านั้น
ในวันที่ 24 มิถุนายน เมื่อ ปาล พนมยงค์ ลูกชายปรีดี เข้าพบจอมพล ป ที่วัดมหาธาตุเพื่อลาบวช จอมพลได้กล่าวกับปาลว่า “บอกคุณพ่อของหลานด้วยนะว่า ลุงอยากให้กลับมาช่วยลุงทำงานให้ชาติ ลุงคนเดียวสู้ศักดินาไม่ไหวแล้ว” ในเวลาไล่เรี่ยกัน ควง อภัยวงศ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ได้บอกกับเสนีย์ ปราโมชว่า “จอมพล ป จะหาเรื่องในหลวง” (ย่อหน้านี้และย่อหน้าติดกันข้างบน เอาข้อมูลมาจาก ณัฐพล ใจจริง, หน้า 219-220 กรณีนายสง่านั้น ต่อมา เมื่อสฤษดิ์ร่วมกับกลุ่มศักดินาทำรัฐประหาร 16 กันยายน 2500 จึงเริ่มมีการดำเนินคดีฟ้องร้อง ดูคำพิพากษาหลังรัฐประหารลงโทษสง่าในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งให้รายละเอียดว่า นายสง่าพูดหรือทำอะไรบ้างบนเวที “ไฮด์ปาร์ค” ครั้งนั้น ใน สุพจน์ ด่านตระกูล, ข้อเท็จจริงกรณีสวรรคต, ฉบับพิมพ์ปี 2517, หน้า 265-267)
คำสัมภาษณ์ของท่านผู้หญิงพูนศุข ที่ยกมาในตอนต้นบทความ เกิดขึ้นภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เอง ในช่วงใกล้ๆ กัน ปรีดีเองก็ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ในจีน แล้วหนังสือพิมพ์ในฮ่องกงนำมารายงานว่า เขาได้ติดต่อกับบุคคลสำคัญในไทยเพื่อการเดินทางกลับมาต่อสู้คดีสวรรคต (อ้างใน ณัฐพล ใจจริง, หน้า 220)
อย่างไรก็ตาม ผมเห็นว่า คำสัมภาษณ์ประโยคเดียวของท่านผู้หญิงพูนศุขมีความสำคัญในแง่ที่นอกจากจะเป็น การยืนยันสนับสนุนหลักฐานต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้น ถึงความพยายามร่วมมือระหว่างปรีดีกับจอมพลและเผ่าที่จะรื้อฟื้นคดีสวรรคต ยังเป็นการยืนยันเด็ดขาดอย่างที่ไม่ต้องมีข้อสงสัยอีกแล้ว ถึงประเด็นหนึ่งที่เคยเป็นปัญหาว่า ปรีดีเองมีข้อสรุปเกี่ยวกับกรณีสวรรคตหรือไม่อย่างไร ดัง ที่ผมได้อธิบายไว้ในบทความหนึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ เป็นเวลาหลายสิบปี ที่ผู้สนใจกรณีสวรรคตมักจะตั้งคำถามว่า ปรีดีเองมีความเห็นอย่างไรแน่ ในสมัยที่เขาเป็นรัฐบาล – รวมถึงรัฐบาลหลวงธำรงที่เป็น “นอมินี” ของเขา – ท่าทีอย่างเป็นทางการของเขาคือ ในหลวงอานันท์ทรงยิงพระองค์เองโดยอุบัติเหตุ ในบทความดังกล่าว ผมได้ยกหลักฐานที่เพิ่งพบใหม่ คือบันทึกการเล่ากรณีสวรรคตของหลวงธำรงต่อทูตอเมริกัน มาแสดงว่า หลวงธำรงและปรีดี (ตามที่หลวงธำรงเล่า) มีข้อสรุปกรณีสวรรคตจริงๆ ที่เก็บเงียบไว้แตกต่างจากท่าทีที่พวกเขาแสดงออกอย่างเป็นทางการ (ดู “ข้อมูลใหม่กรณีสวรรคต: หลวงธำรงระบุชัด ผลการสอบสวนใครคือผู้ต้องสงสัยที่แท้จริง”, ฟ้าเดียวกัน ปีที่ 7 ฉบับที่ 3 กรกฎาคม-กันยายน 2552, หน้า 60-73 หรือดาวน์โหลดบทความในรูป pdf จากเว็บ นิติราษฎร์ ที่นี่) อันที่จริง หลักฐานที่ผมยกมาก็น่าจะเพียงพอแล้ว แต่หากใครจะยังมีข้อสงสัยว่า นั่นเป็นเพียงการเล่าหรืออ้างของหลวงธำรงว่า ปรีดีคิดอย่างไร คำสัมภาษณ์ของท่านผู้หญิงพูนศุขต่อ The Observer เป็นการยืนยันว่า ปรีดีมีข้อสรุปกรณีสวรรคตแบบเดียวกับที่หลวงธำรงบอกทูตอเมริกันจริงๆ
ความพยายามที่ล้มเหลว - ไม่ทันกาล
ในช่วง 2 เดือนเศษ จากเดือนกรกฎาคมถึงวันที่ 16 กันยายน 2500 เมื่อสฤษดิ์และกลุ่มศักดินาร่วมกันทำรัฐประหารโค่นจอมพล ป และเผ่าลง ข่าวลือเรื่องปรีดีจะกลับ และจะมีการรื้อฟื้นคดีสวรรคตดูจะเบาบางลง เราไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่า ได้มีการดำเนินการอย่างไรในเรื่องนี้ แต่ในช่วงไม่กี่วันก่อนรัฐประหาร ทั้งจอมพลและเผ่าได้เปิดเผยต่อผู้สื่อข่าวว่า ได้ติดต่อและพบปะกับหลวงธำรงและดิเรก ชัยนาม คนสนิทของปรีดีในไทย เผ่ายังบอกนักการทูตอเมริกันว่า ธำรงและดิเรกติดต่อกับปรีดีอยู่เสมอ เขาบอกด้วยว่า ปรีดีต้องการให้มีการพิจารณาคดีสวรรคตใหม่โดยเสนอให้รัฐบาลออกเป็นพระราช บัญญัติเพื่อให้สามารถรื้อฟื้นคดีขึ้นใหม่ได้ (ณัฐพล ใจจริง, หน้า 229-230)
ขณะเดียวกัน ความตึงเครียดระหว่างจอมพล ป และเผ่า กับสถาบันกษัตริย์ยังดำเนินต่อไป ในระหว่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลของพรรคฝ่ายค้าน คือประชาธิปัตย์และสหภูมิ (พรรคของสฤษดิ์) ในช่วงสิ้นเดือนสิงหาคม ส.ส.ฝ่ายค้านคนหนึ่งอ้างว่า ได้ทราบจากแหล่งข่าวว่า ระหว่างการประชุมของฝ่ายรัฐบาลเมื่อต้นเดือนมีนาคมปีนั้น เพื่อพิจารณาประกาศภาวะฉุกเฉิน โดยมีนายทหารระดับสูงเข้าประชุมด้วย ที่ประชุมมีการเสนอให้จับพระมหากษัตริย์ ส.ส.ผู้นี้ยังอ้างว่า แหล่งข่าวของเขาในพรรครัฐบาล (เสรีมนังคศิลา) รายงานว่า ในการประชุมพรรคเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2498 เผ่าได้พูดต่อหน้าจอมพลว่า ในหลวงทรงช่วยเหลือพรรคประชาธิปัตย์ (รายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร, วันที่ 29 สิงหาคม 2500, หน้า 1031-1033) ในวันเดียวกับที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลนั้นเอง สฤษดิ์ได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคเสรีมนังคศิลา โดยกล่าวว่า เขา “ไม่อดทนกับแผนการต่อต้านกษัตริย์” ของจอมพลและเผ่า (ณัฐพล ใจจริง, หน้า 230)
ดังที่ทราบกันทั่วไป ในที่สุด สฤษดิ์ได้ทำการยึดอำนาจเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2500 ในวันยึดอำนาจ ในหลวงภูมิพลทรงมีพระบรมราชโองการในพระปรมาภิไธยของพระองค์เองโดยไม่มีผู้ รับสนองพระบรมราชโองการ (รัฐธรรมนูญปี 2495 ที่ให้พระบรมราชโองการต้องมีผู้รับสนอง ยังคงมีผลบังคับใช้อยู่) แต่งตั้งให้สฤษดิ์เป็นผู้รักษาพระนครฝ่ายทหาร และทรง “ขอให้ประชาชนทั้งหลายจงอยู่ในความสงบ และให้ข้าราชทุกฝ่าย ฟังคำสั่งจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์” (ดู ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 74 ตอนที่ 76 วันที่ 16 กันยายน 2500, ฉบับพิเศษ หน้า 1 หรือดาวน์โหลดได้ที่นี่) นอกจากพระบรมราชโองการนี้แล้ว การสนับสนุนของสถาบันกษัตริย์ต่อรัฐประหารของสฤษดิ์ ยังได้รับการยืนยันจากหลักฐานร่วมสมัยทั้งของไทย, อเมริกันและอังกฤษ (ผู้สนใจรายละเอียดโปรดดู ณัฐพล ใจจริง, หน้า 223-247) สาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งของการสนับสนุนนี้คือ เพื่อยับยั้งการร่วมมือระหว่างจอมพล ป-เผ่า กับปรีดีในการรื้อฟื้นคดีสวรรคตขึ้นใหม่ (รายงานซีไอเอในขณะนั้นสรุปว่า “เนื่องจากพระองค์ทรงกลัวแผนการของจอมพล ป ที่จะนำปรีดีกลับมาจากจีน”)