ส่งเสริมคนดีให้ได้ปกครองบ้านเมือง

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

Tuesday, 21 September 2010

เสื้อแดงกลับมาแล้วอย่างสมบูรณ์ วันนี้ที่ราชประสงค์คือ จุดเปลี่ยน เราไม่ตายไม่มีแกนนำ เราก็ยังอยู่ได้

ที่มา thaifreenews



บทความโดย...ลูกชาวนาไทย

วันนี้ วันที่ 19 กันยายน 2553 วันครบรอบ 4 ปี รัฐประหาร ครบรอบ 4 เดือนของการฆ่าคนเสื้อแดงอย่างอำมหิต บนถนนราชประสงค์ไปเกือบร้อยศพ บาดเจ็บกว่า 2,000 คน ในทางการทหาร ถือว่า เสื้อแดงถูกปราบอย่างโหดเหี้ยมและอำมหิต คนเสื้อแดงน่าจะสูญพันธุ์ไปแล้ว ไม่มีให้เห็นเป็นที่รำคาญสายตาของใครอีกต่อไป

วันนี้ผมคิดจะเบี้ยวไม่ไปร่วม เพราะนิสัยเดิมคือ ขี้เกียจ เพราะเมื่อวานได้ไปร่วมงานสัมมนาคนเสื้อแดงที่มูลนิธิ 111 ที่ทำการพรรคไทยรักไทยเดิม ซึ่งมีคุณแมวอ้วนอ้วน หม่อมปลื้ม และ อ.วรพล เป็นองค์ปาฐก กว่าจะกลับบ้านก็สามทุ่ม วันอาทิตย์เลยขี้เกียจ แต่เมื่อถึงเวลาบ่ายสองโมง เพื่อนๆ ที่ไปพร้อมกันที่ราชประสงค์ ก็โทรมาตามบอกว่ามีคนสองสามพันคนแล้ว ทั้งๆ ที่นัดกัน 5 โมง เย็น แต่คนเสื้อแดงก็ไปราวๆ บ่ายสอง สักสี่ห้าโมง แม่ปังคง และเพื่อนคนอื่นๆ ก็โทรมาตามอีก บอกว่าพวกเรามีจำนวนมากหลายหมื่นคนแล้ว ให้ผมออกไปให้ได้

สุดท้าย ผมก็ต้องออกไป

ไปถึงก็ตื่นตาตื่นใจกับจำนวนคนเสื้อแดงที่มากมายมหาศาล มากกว่าวันปกติของการชุมนุมที่ราชประสงค์ของ นปช. ในช่วงวันธรรมดาอีก ที่บริเวณเวทีเดิม และถนนราชประสงค์หน้า World Trade ไปถึงประตูน้ำ มีคนเสื้อแดงเต็มไปหมด แน่นจนไม่อยากเบียดเข้าไป

วันนี้ไม่มีเวที ไม่มีแกนนำ แม้ บก.ลายจุด จะเป็นคนเริ่ม แต่คนส่วนใหญ่ที่ไป ก็ไม่ได้ไปทำตามที่ บก.ลายจุดต้องการ ไม่ได้ร่วมกิจกรรมของ บก.ลายจุด แต่เขาไปแสดงพลังให้โลกรู้ว่า เราไม่ตาย เรายังอยู่ และเราจะสู้ต่อไป

ตามปกติผมเป็นคนที่ชอบคิดอะไรแบบมีหลักฐาน จำนวนคนที่ไปวันนี้ผมคาดการณ์ได้ประมาณไม่ต่ำกว่า 50,000 คน ผมใช้ Google Earth คำนวณพื้นที่ หน้าตึก World Trade ได้พื้นที่ 19,500 ตร.. หน้าตึกเกษรพลาซ่า ไปถึงข้างตึก WTD ที่มีคนอยู่อีกประมาณ 5,000 ตร.. คนเสื้อแดงแน่นไปหมด หากคิด 2 คน/ตร.เมตร ก็จะได้ไม่ต่ำกว่า 50,000 คน

นั่นเป็นข้อมูลเชิงประจักษ์ ยืนยันจำนวนคนที่ไปชุมนุมโดยปราศจากแกนนำ

แต่ ความหมายของวันนี้ ความหมายของของการชุมนุมคนเสื้อแดงมันลึกซึ้งมากกว่านั้น มากกว่าตัวเลขจำนวนคนที่มาโดยไม่มีแกนนำ ไม่มีเวที ไม่มีสื่อเสื้อแดงที่กระจายข่าวเรียกให้คนมา แต่คนเสื้อแดงก็มากว่าครึ่งแสน ในทางการเมืองมันส่งผลกระเทือนอย่างรุนแรง

วันนี้ มีความหมายไม่น้อยกว่าการชุมนุมของคนเสื้อแดงใหญ่ครั้งแรกที่ เรโดม เมืองทองธานี ที่รายการความจริงวันนี้จัดขึ้น ซึ่งคิดว่าคนจะไปร่วมไม่เกิน 3,000 คน แต่คนเสื้อแดงก็ไปในวันนั้นกว่า 20,000 คน เป็นการชุมนุมยิ่งใหญ่ครั้งแรก ที่จุดติด หลังจากนั้นคนเสื้อแดงก็เติบโตเรื่อยมา

หลังจากการโดนปราบที่ราชประสงค์ในวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 ทุกฝ่ายก็คิดว่าเสื้อแดงตายแล้ว เพราะแกนนำถูกจับไปหมด ไม่มีแกนนำเลย

วันนี้เป็นวันส่งสัญญาณอย่างชัดแจ้งว่า "ขบวนการเสื้อแดงนั้นได้ก้าวข้ามแกนนำ" ไปแล้ว แม้ไม่มีแกนนำ ขบวนการคนเสื้อแดงก็ไม่ได้ตายลงไปอย่างที่ฝ่ายอำมาตย์ "และคนบางคนคิด"

วันนี้หากคิดกันอย่างโหดๆ แล้ว 92 ชีวิตที่โดนสังหารไปอย่างอำมหิต มีคุณค่าในการเปิดโปง "คนบางคน" ในทางการเมือง และในสงครามมวลชน ถือว่า "คนเสื้อแดงชนะ" ฝ่ายอำมาตย์ได้สูญเสียการเมืองอย่างมาก ยากที่จะแก้ตัวได้

และคนบางคนได้สูญเสียบารมีไปอย่างสิ้นเชิง หากวันนี้ใครไปอ่าน คำจารึก ที่คนเสื้อแดงเขียนที่หน้าผนังตรงตึก World Trade ก็จะหนาวถึงขั้วหัวใจ เพราะวันนี้ เขาด่าอย่างไม่เกรงใจ เขียนด่าอย่างไม่กลัว เพราะ เราไม่มีแกนนำ ที่ต้องเกรงว่าจะเกิดผลกระทบไม่ดีต่อแกนนำแล้ว เราเป็นประชาชนเจ้าของแผ่นดิน เราจะรักใครเกลียดใคร ก็เป็นความชอบธรรมของประชาชนที่เป็นเจ้าของประเทศอย่างสมบูรณ์

ใครที่ประชาชนเกลียด ก็คงอยู่ในอำนาจและอยู่บนหัวของประชาชนได้ไม่นาน

วันนี้เข้าตะโกนด่า "ไอ้..ฆ่าประชาชน" ด้วย ตะโกนด้วยเสียงกระหึ่ม แบบไม่กลัวใคร ไม่เกรงใจใคร

สงคราม ประชาชนในยกที่สาม หรือที่สี่ ก็ไม่ทราบ ได้เริ่มขึ้นอีกแล้ว เสื้อแดงไม่ได้ตาย สลาย หรือโดนปราบปรามไป แต่เสื้อแดงแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม

หากเป็นทหาร ก็ต้องเรียกว่าเป็น "ทหารผ่านศึกหลายสงคราม" ผ่านสมรภูมิมาสี่ปีแล้ว ยาวนานยิ่งกว่าทหารพันธมิตรและเยอรมันรบกันในสงครามโลกครั้งที่สอง เป็น Veteran ผู้ชำนาญการสงครามแล้ว

ก็อย่างที่บอก เมื่อวานไปสัมมนาที่มูลนิธิ 111 ที่ คุณปลื้ม มล.ณัฐกรณ์ เทวกุล ไปบรรยายร่วมกับคุณแมวอ้วนอ้วน บก.ไทยฟรีนิวส์ ในที่สัมมนา มีคนถามคุณปลื้มว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร คุณปลื้มตอบว่ามีสองแนวทางคือ

1. แนว ทางแรกหากพวกอำมาตย์คิดว่าคนเสื้อแดงเข็มแข็ง เขาอาจต้องเปลี่ยนตัวนายกฯ เอาอภิสิทธิ์ลง หานายกฯคนที่เสื้อแดงยอมรับได้มาเป็น ซึ่งก็คือรัฐบาลแห่งชาตินั่นเอง แนวทางนี้พรรคประชาธิปัตย์คงโดนยุบพรรค

2. แนว ทางที่สอง หากพวกอำมาตย์หรือหัวหน้าอำมาตย์ คิดว่าคนเสื้อแดงอ่อนแรงลง เขาก็จะให้อภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป และหาทางสลายพรรคเพื่อไทย โดยการ ดูดบ้าง ดึงบ้าง ซื้อตัวบ้าง การเลือกตั้งครั้งต่อไป ก็จะต้องใช้กลไกทุกอย่างเพื่อสะกัดพรรคเพื่อไทย แล้วพวกเขาคิดว่าภายในเวลา 10 ปี คนเสื้อแดงและทักษิณก็จะหายไป และจะรักษาอำนาจไว้เหมือนเดิม

นี่ คือความเห็นของ คุณปลื้มนะครับ แม้ว่าผมจะไม่เห็นด้วยกับการวิเคราะห์นี้ เพราะเป็นการวิเคราะห์จากกลิ่นอายของอำมาตย์อยู่มาก แม้คุณปลื้มจะพูดเข้าข้างและค่อนข้างเห็นใจเสื้อแดงก็ตาม แต่แวดวงสังคมรอบตัวคุณปลื้ม ที่เป็นพวกคนชั้นสูง และกลุ่มอำมาตย์ ก็คงคิดกันอย่างนี้ มันจึงไหลเข้ามาเป็น "กรอบการมอง" ของคุณปลื้มไปโดยปริยาย จะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม เพราะ "คน" เราคงไม่มีใครสามารถก้าวข้าม "สภาพแวดล้อมรอบๆ ตัวได้" ต้องซึมซับเข้ามาไม่มากก็น้อย พวกอำมาตย์คงคิดประมาณนี้ ปลีกย่อยคงแตกต่างกันไม่เท่าไหร่

วันนี้วันที่ 19 กย. 2553 หลังปลื้มออกความเห็นได้หนึ่งวัน คนเสื้อแดงก็แสดงพลังอย่างเต็มที่ชุมนุมทื่ราชประสงค์โดยไม่มีแกนนำไม่ต่ำกว่า 50,000 คน สะท้อนว่า "คนเสื้อแดงนั้นเข็มแข็ง" หากคิดแบบอำมาตย์ แนวทางที่พวกเขาเลือกอาจเป็นรัฐบาลแห่งชาติ อภิสิทธิ์คงโดนถีบหัวส่ง

ซึ่งคนเสื้อแดงก็ไม่ได้เลือกนายกรัฐมนตรีที่เขาต้องการอยู่ดี นี่ไม่ใช่สิ่งที่คนเสื้อแดงต้องการ เราต้องการเลือกนายกฯ ของเราเอง

ผม ไม่คิดว่าคนเสื้อแดงจะคิดแบบอำมาตย์ หรือยอมอำมาตย์ วันนี้ คนเสื้อแดงไม่ยอมรับ "รัฐบาลแห่งชาติ" ไม่ยอมรับการปรองดอง แต่เราต้องการประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ เราต้องการสังคมที่ไม่มีสองมาตรฐาน

วันนี้ได้พิสูจน์แล้วว่า บารมีที่ยิ่งใหญ่ของคนบางคน บางสถาบันได้อ่อนกำลังลงอย่างสิ้นเชิงแล้ว

นอกจากได้ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แล้ว คนเสื้อแดงไม่ต้องการ "การประนีประนอม" อื่น ๆ ทั้งสิ้น

ผมเชื่อว่าหากพวกอำมาตย์ยังใช้ท่าที ไม่จริงใจและคิดจะสลายเสื้อแดงให้สิ้นซาก สถานการณ์จะนำไปสู่การปฎิวัติประชาชานอย่างแน่นอน คนเสื้อแดงอาจบาดเจ็บ โดนฆ่าแบบวันที่ 19 พ.ค. 53 อีก แต่สุดท้าย คนเสื้อแดงในฐานะประชาชนก็จะกลับมาเข็มแข็งได้อีก ยิ่งฆ่าแนวร่วมยิ่งขยายตัว ตายสิบเกิดแสน สงครามก็จะดำเนินต่อไป จน "บารมีของคนบางคนหมดสิ้น" และมีการเปลี่ยนแปลงถอนรากถอนโคนในที่สุด จุดจบของการต่อสู้กับประชาชน คงไม่พ้นแบบนี้ ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ก็เป็นอย่างนี้ ไม่มีสังคมใด ชาติใดมีลักษณะพิเศษไม่เหมือนชาติอื่น จุดจบของผู้ปกครองที่กดหัวประชาชน ไม่พ้นโดนทำลายล้างไป

อย่าคิดว่าจะเป็นไปไม่ได้ วันนี้คนห้าหมื่นได้เดินออกมาบนถนน และตะโกนด่าบางคนแบบไม่เกรงใจแล้ว ก่อนหน้านี้ไม่เคยแม้แต่จะกล้าคิด

จะ ใช้มาตรการทางสังคมกดดัน หรือมาตรการโฆษณาชวนเชื่อ ก็คงไม่เป็นผล เพราะคนเสื้อแดงไม่ใช่คนส่วนน้อย แต่เป็นคนส่วนใหญ่ มาตรการทางสังคมของคนส่วนน้อยไม่มีทางไปบีดบังคับคนส่วนใหญ่ได้ มาตรการที่ว่ามาก็ทำจนถึงที่สุดแล้ว

วันนี้เป็นจุดเปลี่ยนของวิกฤติการณ์ทางการเมืองไทย ครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง เป็น turning point อีกจุดหนึ่ง

เป็น วันที่คนเสื้อแดง แม้ไม่มีแกนนำ เราก็อยู่ได้ แม้ไม่มีสื่อของคนเสื้อแดง แต่เราก็มีวิธีการสื่อสายกันอย่างมีประสิทธิภาพ และไม่มีใครรู้ว่า สื่อกันยังไง (ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ผมรู้ว่าจะชุมนุมวันนี้จากปากต่อปาก)

วันนี้ขบวนการคนเสื้อแดง ได้เติบโต หลุดพ้นกรอบเดิมๆ ที่ต้องพึ่งพาแกนนำแล้ว