ศอฉ.ออกประกาศซะขึงขัง ห้ามเข้าพื้นที่รอบทำเนียบ ทำเอาคนกรุงขี้ตื่นตกใจกันยกใหญ่ นึกว่า “โจรแดง” บุก
ที่ไหนได้ พันธมิตรฯ ในคราบเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ เจรจากับมาร์คเรียบร้อยแล้ว จะย้ายไป “กระชับพื้นที่” กันที่อาคารกีฬาเวสน์ สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง
อ้าว! ต้มคนดูนี่หว่า ไหนลุงจำลองนัดมวลชนซะมั่นเหมาะว่าหน้าประตู 4 กลับจะไปดูคอนเสิร์ตซะยังงั้น เหลือแต่กลุ่ม วีระ สมความคิด ไปตั้งกล่อง-เอ๊ย ตั้งกองอยูหน้าทำเนียบ
แต่เชื่อเฮอะ ไม่มีอะไรในกอไผ่ นอกจาก ปชป.กับพรรคการเมืองใหม่แก่งแย่งแข่งขันกันว่าใครจะ “ขวาได้ใจ” กว่าใคร (ขณะที่พวกวีระ-ไชยวัฒน์ ชิงขวา 90 องศา)
ผมมองดูการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ ในคราบเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติแบบขำๆ ตั้งแต่ไปประท้วงหน้ายูเนสโก รถติดยาวครึ่งค่อนวัน โดยไม่ต้องหวั่น พรก.ฉุกเฉิน ตั้งข้อสังเกตไว้กับตัวเองแล้วว่า พธม.ออกมาเคลื่อนไหวเรื่องปราสาทพระวิหารครั้งนี้ ชูประเด็นต่างจากครั้งก่อน
ข้อแรกคือ พันธมิตรฯ อ้างว่าจะเสียดินแดนถึง 1.8 ล้านไร่ สาวกบางคนยังงง ไม่รู้เอามาจากไหน ที่แท้เป็นจินตนาการข้ามช็อตว่าถ้าเขมรได้พื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร ก็จะไม่ยอมรับการแบ่งเขตแดนตามสันปันน้ำ แต่จะอ้างสิทธิตามแผนที่ฝรั่งเศสกินไปลงถึงหลุมก๊าซในทะเล
พันธมิตรฯ ไม่ได้ชูประเด็นนี้ในการเคลื่อนไหวครั้งแรกนะครับ แต่ครั้งนี้คงกลัวจะชูชาตินิยมเพียวๆ ไม่ไหว เลยยกเอาผลประโยชน์มาล่อคนไทยให้ตาโต (เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ กรรมการสภาปฏิรูปประเทศไทย เขียนกลอนพรรณนาว่าไม่ใช่เรื่องคลั่งชาตินะ เป็นเรื่องขุมทรัพย์ใต้ทะเลนะ)
จากนั้น พันธมิตรฯ จึงเรียกร้องให้ยกเลิก MOU ปี 43 ที่ทำไว้สมัยรัฐบาลชวน แถมลุงจำลองยังเรียกร้องให้ส่งทหารเข้าไป “กระชับพื้นที่” ชาวบ้านเขมรในพื้นที่ทับซ้อน
ชักเอะใจว่าเป้าหมายคราวนี้ไม่ใช่แค่ทักษิณ หรือ “ไอ้เหล่” นพดล ซะแล้ว
อย่างไรก็ดี ยกแรก พันธมิตรฯ ถูกมาร์คตีกิน แสดงท่าทีแข็งกร้าวไม่ยอมให้เขมรยื่นแผนบริหารจัดการปราสาทพระวิหาร ขู่ถอนตัวจากมรดกโลก ซ้ำยังพาดพิงยูเนสโกว่า เป็นองค์กรทางวัฒนธรรมและสันติสุข ไม่ควรสร้างความแตกแยกระหว่าง 2 ประเทศ (โห หน้าไม่ร้อนสักนิด ใครกันแน่ที่สร้างความแตกแยก ยูเนสโกเขาคงไม่คาดคิดว่านักเรียนอังกฤษศิษย์เก่าอีตัน-ออกซ์ฟอร์ด จะพูดเอาดื้อๆว่า ต่อให้ศาลโลกพิพากษาให้ปราสาทพระวิหารเป็นของเขมร แต่ที่ดินข้างใต้ก็ยังเป็นของไทย)
พูดได้ว่า มาร์คชิงบทพระเอก ฉวยเหยี่ยวจากมือลุงจำลองไปพับ โกยคะแนนชาตินิยมไปเต็มๆ โดยเฉพาะเมื่อสามารถคุยได้ว่า ส่งสุวิทย์ คุณกิตติ ไปเบรกจนยูเนสโกไม่ยอมรับแผนบริหารจัดการปราสาทของเขมร ต้องเลื่อนไปเสนอปีหน้า แล้วก็โหมประโคมกันใหญ่ว่าเป็น “ชัยชนะ” (ผมยังกังขาอยู่นะว่าที่กรรมการมรดกโลกไม่รับ เป็นเพราะเขมรยื่นช้าหรือเป็นเพราะไทยค้านกันแน่ เพราะมติกรรมการมรดกโลกไม่ได้บอกว่าต้องให้ไทยเห็นชอบ เพียงแต่เขาอาจจะมีมารยาทพอ ไม่อยากขยายความแตกแยกที่เกิดเพราะพวกคลั่งชาติ)
แต่พันธมิตรฯ ไม่ยอมแพ้ ยังมีก๊อกสอง ขุดซากปรักหักพังจนได้ตัวอดุลย์ วิเชียรเจริญ, ม.ล.วัลย์วิภา จรูญโรจน์, เทพมนตรี ลิมปพยอม,ศรีศักร วัลลิโภดม เรียงหน้ากันเรียกร้องให้ยกเลิก MOU ปี 43 พร้อมกับส่งทหารเข้าไปตัดหัวพระยาละแวก เอ๊ย เข้าไปขับไล่คนเขมรในพื้นที่ทับซ้อน แถมยังอ้างว่าสุวิทย์ไปลงชื่อรับทราบมติการจัดตั้งกรรมการไอซีซีทำให้ไทยเสียเปรียบ
“ผมว่ามันบ้ากันไปใหญ่” อาจารย์อดุลย์กล่าวว่าได้แนะนำให้สุวิทย์ต่อต้านไม่ไปร่วม และให้ลาออกจากภาคีสมาชิก แต่สุวิทย์กลับไปรับมติ และรัฐบาลจะชิงเป็นเจ้าภาพมรดกโลกในสองปีข้างหน้า
อาจารย์พูดอีกก็ถูกอีก “ผมว่ามันบ้ากันไปใหญ่”
ตลอดหลายวันที่ผ่านมา จึงเป็นมหกรรมชิงความเป็นขวา แข่งว่าใครจะรักชาติมากกว่ากัน ให้ชาวเราเฝ้าดูอย่างสนุกสนาน ไม่รู้จะแข่งกันไปจนถึงวันเลือก สก.หรือเปล่า
ถ้าถามว่าใครพูดแล้ว “ได้ใจ” มากที่สุด ขออภัยที่ต้องบอกพวกคลั่งชาติทั้งสองฝ่ายว่า ท่านคือเจ้าศรีสวัสดิ์ โธมิโก ที่ปรึกษาในองค์กษัตริย์กัมพูชา ซึ่งส่งจดหมายถึงอภิสิทธิ์ เรียกร้องให้มองปราสาทพระวิหารเป็น “สัญลักษณ์แห่งความปรองดอง”
ได้ใจและเจ็บด้วย เพราะท่านย้อนให้เห็นว่า ทั้งไทยและกัมพูชาต่างก็ตกเป็นเหยื่อเจ้าอาณานิคม การขีดเส้นแบ่งดินแดนอย่างไม่เป็นธรรมทำให้คนเขมรเป็นเรือนล้านต้องถูกแยกมาอยู่กับไทย ถ้าจะฟื้นฝอยหาตะเข็บกันตั้งแต่อดีต กัมพูชาก็ได้รับความไม่เป็นธรรมกว่า ถ้าเอาความเป็นชาตินิยมสุดโต่งมาใช้ กัมพูชาก็คงจะเรียกร้องดินแดนคืนมากกว่านี้ แต่หลังจากได้รับเอกราช กัมพูชาก็ไม่เคยเรียกร้องเกินกว่าเขตแดนที่ถูกกำหนดไว้ (แลกกันมั้ย เอาเนวินคืนไป เอาเกาะกงคืนมา)
ท่านเขียนอย่างนุ่มนวลว่า ทั้งสองชาติมีประวัติศาสตร์ยาวนานร่วมกัน ไฉนเลยจึงปล่อยให้พวกคลั่งชาติจำนวนน้อยปลุกปั่นประชาชนทั้ง 2 ประเทศ (ท่านอ้อมถึงพวกเขมรคลั่งชาติด้วย ไม่ได้ว่าฝ่ายเดียว) ทำไมจึงไม่มองปราสาทพระวิหารเป็นสัญลักษณ์แห่งความปรองดอง ความสมานฉันท์ และความร่วมมืออันเป็นประโยชน์ยิ่งต่อทั้งสองประเทศ
จดหมายนี้ไม่ได้เป็นการอ่อนข้อ งอนง้อ แต่เป็นการ “เตือนสติ” พวกคลั่งชาติที่โหมประโคมว่าได้ “ชัยชนะ” ชัยชนะคืออะไร คือการเป็นก้างขวางคอเขมร โดยที่ตัวเองก็ไม่ได้ประโยชน์โภชน์ผล แต่ปลุกผีกันว่าจะเสียผลประโยชน์
มติคณะกรรมการมรดกโลกเมื่อ 2 ปีก่อน ชัดเจนนะครับว่าการขึ้นทะเบียนมรดกโลก เขาขึ้นเฉพาะพื้นที่ปราสาทพระวิหารตามคำพิพากษาศาลโลกเท่านั้น ไม่มีตรงไหนที่บอกว่าผนวกเอาพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตรเข้าไปด้วย ตามข้อ 9 ซึ่งบอกว่า “ที่ประชุมบันทึกไว้ว่า ทรัพย์สินซึ่งนำเสนอเพื่อการขึ้นทะเบียน ถูกปรับลดและมีองค์ประกอบเพียงจำเพาะตัวปราสาทพระวิหารและมิได้รวมถึงส่วนเพิ่มเติมอื่นอันประกอบด้วยผาและถ้ำต่างๆ”
ขณะที่ข้อ 8,10,11 เขาแสดงเจตนาชัดเจนว่าอยากให้มีการขึ้นทะเบียนร่วมกัน บริหารจัดการร่วมกัน โดยหวังจะให้ใช้เวลา 2 ปีนี้เจรจา “ปรองดอง” กัน เพื่อขึ้นทะเบียนเพิ่มเติมและนำเอาพื้นที่ทับซ้อนส่วนหนึ่งมาใช้เป็นพื้นที่บริหารจัดการ เป็นผลประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองชาติ
แต่ทำไมถึงยอมไม่ได้ล่ะ ก็เพราะทัศนะของพวกคลั่งชาติ ถ้าเปรียบไปแล้วเหมือนบ้านโบราณหลังหนึ่ง อยู่บนที่ดินพิพาทที่ศาลพิพากษาให้นาย ข.ได้ตัวบ้านไป ส่วนนาย ก.เหลือแค่ตีนกระไดพญานาค กับบริเวณแวดล้อม กรมศิลปากรเขาจะมาขึ้นทะเบียนอนุรักษ์ส่งเสริมการท่องเที่ยว นาย ก.มีเหตุผลอะไรจะไปคัดค้านเขา นอกจากความรู้สึกที่ไม่ยอมแพ้ ไม่ยอมรับคำพิพากษา ยืนยันว่ายังเป็นของกู ถึงศาลให้มึงเอาตัวบ้านไป ที่ดินใต้บ้านก็ยังเป็นของกู
ยิ่งไปกว่านั้น นาย ก.ยังรู้สึกว่ากูเป็นพี่เบิ้มมาตลอด ตระกูลกูใหญ่กว่านาย ข.มาตั้งแต่บรรพบุรุษ พ่อมันปู่มันทวดมัน ล้วนต้องศิโรราบ เอาที่มาจำนองกู้ยืม อยู่ๆ มันฟ้องศาลได้ที่ดินคืนไป แหม เจ็บใจ๊เจ็บใจ
นาย ก.ก็เลยไม่ยอม ไม่ให้ทางเข้าออก ไม่ให้ที่จอดรถ ต่อรองว่าต้องขึ้นทะเบียนพร้อมกัน เท่าเทียมกัน .....ทั้งที่ตัวเองมีแค่ตีนกระไดเนี่ยนะ
สรุปแล้ว “ชัยชนะ” คือ กูไม่ได้มึงก็ต้องไม่ได้ ยอมไม่ได้แม้จะเป็นประโยชน์ทั้งสองฝ่าย (แต่อาจจะยอมถ้าหมอบราบคาบแก้วส่งต้นไม้เงินต้นไม้ทองมาขอร้อง) ผู้ที่ได้ประโยชน์ก็มีแต่พวกหวังผลทางการเมือง กับพวกจัดซื้ออาวุธ กริพเพน รถถังยูเครน เรือเหาะ (เอาไว้ยึดปราสาทพระวิหารแบบในหนัง) นี่อยู่ดีๆ ก็ประเคนเงิน 240 ล้านให้กองทัพภาคที่ 2 ทั้งที่ยังไม่รู้เลยว่าจะเอาไปใช้อะไร ให้ง่ายดายแต่ไม่มีใครว่า
ก็ขอเชิญชวนพ่อแม่พี่น้องผู้รักชาติ เปิดทีวีดูเรียลลิตี้ประชันฝีปากระหว่าง พธม.กับรัฐบาล แล้วช่วยกันกดโหวตว่าใครจะ “ขวาได้ใจ” กว่ากัน ระหว่างมาร์ค V1 กับลุงจำลอง V2 วีระ สมความคิด V3 แต่ส่วนตัวผมอยากมอบ “ตุ๊กตาภูมิคุ้มกัน” ให้ พธม.ในฐานะม็อบมีเส้น (แต่ตอนนี้ไม่แน่ใจว่าเส้นพลิกหรือยัง) เปล่า ไม่ใช่หรอก แต่เพราะเถ้าแก่เปลว สีเงิน ของผมพูดถูกแล้ว ที่ว่าเสื้อแดงกับ พธม.มีจุดร่วมกันอยู่อย่างคือไม่ยอมให้ “บ้านเมืองเป็นปรกติสุข”
เสื้อแดงไม่ยอมให้บ้านเมืองเป็นปรกติสุขอยู่แล้ว ตราบใดที่ไม่ได้รับความยุติธรรม และประชาธิปไตยสมบูรณ์ปลอดการแทรกแซงของอำนาจพิเศษ ขณะที่เสื้อเหลืองน่ะหรือ ถ้ายอมให้บ้านเมืองเป็นปรกติสุข ภายใต้ลัทธิมาร์ค-เนวิน การเมืองเก่าซะไม่มี (ปอง อัญชลี เพิ่งออกมาด่าว่าพรรคร่วมโกงยิ่งกว่ายุคทักษิณ) พวกเขาก็ต้องไปผูกคอตายในฐานะที่ปลุกมวลชนไว้ว่าจะนำไปสู่การเมืองใหม่ใสสะอาดปราศจากคอรัปชั่น
พันธมิตรฯ จึงต้องเป็น I for Icarus ดิ้นรนหาจุดต่างเพื่อการดำรงบทบาท แม้จะต้องเผาผลาญตัวเองไปเรื่อยๆ ถูกขวัญใจจริตนิยมแย่งคนชั้นกลางไปทุกวัน แต่พันธมิตรฯ ก็หยุดไม่ได้ และจะกลายเป็นหอกข้างแคร่ที่กระหนาบรัฐอภิสิทธิ์ชนอยู่อีกข้างหนึ่งคู่ขนานกับเสื้อแดง รวมทั้งเป็นพลังปฏิภาคผลักกันและกัน
โห ถ้าไม่มี พธม.ที่ไหนเลยเราจะได้เห็นความเป็น 2 มาตรฐานละครับ พธม.ม็อบได้ ถึงไม่ปิดถนนก็ล้นลงถนนจนรถติดยาวเหยียดครึ่งค่อนวัน ทั้งๆ ที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ขณะที่เด็กอายุ 16 ถือป้าย “ผมเห็นคนตายที่ราชประสงค์” กลับถูกตำรวจจับส่งสถานพินิจ
ฉะนั้นชาวเราก็ต้องเอาไม้แยงก้น พธม.เข้าไว้ ให้เข้ารกเข้าพงกันไปใหญ่ เนื่องจาก พธม.ไม่สามารถต่อสู้เรื่องหลักการประชาธิปไตย สิทธิเสรีภาพ เพราะจะเข้าเนื้อ เนื่องจาก พธม.ไม่กล้าต่อสู้เรื่องทุจริตคอรัปชั่น เพราะกลัวจะเข้าทางทักษิณ (รถเมล์ 4 พันคันก็คล่องคอไปแล้ว รัฐสภาใหม่ก็จะวางศิลาฤกษ์ไม่กี่วันนี้) เลยต้องไปหาอะไรที่สุดขั้วสุดโต่งมาสู้ ซึ่งก็ยิ่งตกกระแสไปเรื่อยๆ
แต่ต้องเลี้ยงไว้ให้มีบทบาทครับ สมมติเช่นเลือก สก.จะไปเลือกมันทำไม้ พรรคเพื่อไทย เลือกไปก็เท่านั้น แค่ สก.ทำไรได้ หรือถ้ายังอยากเลือกก็เลือกบางเขต แต่เขตไหนเห็นแล้วว่าเพื่อไทยสู้ไม่ได้ก็เทคะแนนให้พรรคการเมืองใหม่ดีกว่า
สมมติเช่น อยู่เขตพระนคร สก.เดิมเป็น ปชป. เราก็หันมาเลือกรัชต์ยุตม์ อมรเทพรัตนานนท์ –เอ๊ะ ไม่ใช่นี่หว่า หรือว่า อมรเทพ ศิรโยธินภักดี – เอ๊า ก็ไม่ใช่อีก แก่แล้วชักสับสน เอาเหอะ เอาเป็นว่าเลือกการเมืองใหม่นั่นแหละ
ทราบแล้วเปลี่ยน! (เพื่อนฝูงฝากบอกว่าเปลี่ยนชื่อจัดตั้งกี่ครั้งก็ไม่เป็นไร คราวหน้าอย่าผ่าตัดเปลี่ยนหน้าก็แล้วกัน)
ใบตองแห้ง
7 ส.ค.53
ป.ล.ขอแจมเรื่อง “นางเอก”ซักนี้ด ข่าวที่ทำให้ผมเซอร์ไพรส์มากในหลายวันที่ผ่านมาคือข่าวคุณหญิงเป็ด “นางเอก” ของพลังศีลธรรมใสสะอาด ถูกอัดก๊อปปี้ทั้งข้างหน้าและข้างหลังโดย 2 ศิษย์ก้นกุฎี เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ และพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ถามใครใครก็เง็ง ไม่รู้ว่าเค้าผิดใจกันเรื่องอะไร
เป็นห่วงเป็นใยน่ะครับ ฮิฮิ เพราะผมเนี่ย ดูเหมือนจะเป็นสื่อรายแรกที่สัมภาษณ์คุณหญิงเป็ด เขียนลงแทบลอยด์ไทยโพสต์ อ่านแล้วใครๆ ก็ชื่นชม ฉะนั้นถือว่าผมมีส่วนปลุกปั้น “นางเอก” หลังจากนั้นเคยสัมภาษณ์กันอีกหลายครั้ง คุยกันทีไรท่านก็จะเอ่ยถึงแต่ “พิศิษฐ์ๆ” เสมือนลูกบุญธรรม
เฮ้อ ก็ไม่คาดคิดว่า “นางเอก” จะเจอวิบากกรรมเร็วขนาดนี้ ข้อกล่าวหาทั้งหลายไม่อยากพูดถึง ใครอ่านข่าวก็ใช้วิจารณญาณได้เอง นี่แหละผลของประกาศ คปค.ที่ปลด คตง.โดยไม่ตั้งใหม่ ให้ผู้ว่า สตง.ใช้อำนาจแทน คตง.แต่ผู้เดียว มีอย่างที่ไหนครับ คนเดียวใช้อำนาจแทนคณะกรรมการทั้งชุด ไม่มีใครมากลั่นกรอง ทักท้วง หรือสมมติทำถูก คณะกรรมการก็เป็นเครื่องการันตี ว่าพิจารณากันหลายคนถี่ถ้วนแล้ว แต่นี่...วันเกิร์ลโชว์ ถูกผิดก็รับเละคนเดียว
เรื่องคุณหญิงพ้นตำแหน่งหรือไม่ ผมมีความเห็นเหมือน อ.พรสันต์ เลี้ยงบุญเลิศชัย แต่ขออธิบายความเสริมสักนิดว่า การเกษียณอายุน่าจะถือเป็นเรื่องคุณสมบัติในการดำรงตำแหน่ง ซึ่งเป็นหลักกฎหมายทั่วไป จะเอาประกาศ คปค.ซึ่งเป็นเรื่องเฉพาะ ให้ทำหน้าที่ต่อไปเมื่อครบวาระ มาใช้บังคับไม่ได้
อธิบายแบบบ้านๆ ก็คือ ผู้ดำรงตำแหน่งจะต้องมีคุณสมบัติทั่วไป เช่นที่มักกำหนดไว้ว่าพ้นตำแหน่งเมื่อ ตาย, ลาออก, ทุพพลภาพ, วิกลจริตจิตฟั่นเฟือน, เกษียณอายุ นอกจากนี้กติกาสมัยใหม่ ยังมีการถูกถอดถอนอีก
ฉะนั้นประกาศ คปค.จะเอามาใช้บังคับกับคุณสมบัติทั่วไปไม่ได้ สมมติเช่น ...กราบขออภัยไม่ได้แช่งนะครับ แค่ยกตัวอย่างเพื่อศึกษากฎหมาย ...สมมติคุณหญิงหางเปียชี้ เรายังจะเอาประกาศ คปค.มาบังคับว่า วิญญาณคุณหญิงต้องทำงานต่อไปก่อน อย่างนั้นหรือ
หรือสมมติคุณหญิงเบื่อหน่ายเต็มที อยากกลับไปอยู่บ้านเลี้ยงหลาน ว่างๆ ก็พาครอบครัวซื้อตั๋วเครื่องบินไปเที่ยวเมืองนอก ถ้าเราเอาประกาศ คปค.มาบังคับ คุณหญิงก็ลาออกไม่ได้
หรือสมมติคุณหญิงท่านทำงานเพื่อชาติจนเครียดจัด วันดีคืนดีตั้งศาลเพียงตานุ่งขาวห่มขาวเรียกเจ้าหน้าที่ สตง.ไปเจิมหน้าผากรดน้ำมนต์ ใครไม่ไปสั่งย้าย ต้องฟ้องศาลปกครองเป็นร้อยๆ คดี อย่างนี้ยังจะเอาประกาศ คปค.มาบังคับอยู่หรือ (สมมตินะครับสมมติ)
เอาละ สมมติอีก คปค.มองการณ์ไกลเห็นทะลุอนาคตว่า ไม่สามารถสรรหาผู้ว่าฯใหม่ได้ซักที คปค.ก็อาจจะเขียนไว้ว่า ให้คุณหญิงทำหน้าที่ต่อไปไม่ต้องเกษียณอายุ อย่างนี้ได้ครับ ไม่มีปัญหาเลย
แต่ถ้าอย่างนั้น คปค.ก็อาจจะต้องเขียนด้วยว่า ให้คุณหญิงทำหน้าที่ต่อไป ห้ามตาย ห้ามลาออก ห้ามเกษียณอายุ ห้ามถอดถอน ห้ามดำเนินคดีที่เสี่ยงต่อการถูกตัดสินพิพากษา ฯลฯ เป็นหางว่าวเลย
เจ็บปวดกว่านั้นคือ คุณหญิงพ้นตำแหน่งไปแล้วตามหลักกฎหมาย แต่คำสั่งที่คุณหญิงตั้ง “พิศิษฐ์ๆ” รักษาการนั้น เป็นคำสั่งถูกต้องตามกฎหมาย จะเอา 100 นิติตะวัน มาง้างก็ไม่สำเร็จ แถมพิศิษฐ์ยังจะใช้อำนาจ คตง.แทนคุณหญิงต่อไปด้วย
โธ่ น่าเสียดาย ร่าง พ.ร.บ.ตรวจเงินแผ่นดินฉบับใหม่ตกไปซะแล้ว ในนั้นนอกจากจะเพิ่มอำนาจให้ คตง.มีอำนาจฟ้องเหมือนอัยการและ ปปช.แล้ว ยังมีบทเฉพาะกาลมาตรา 111 ยกเว้นบทบัญญัติที่ให้ คตง.ดำรงตำแหน่งวาระเดียว ไม่ให้ใช้บังคับกับกรรมการ คตง.ที่ได้รับการสรรหาครั้งแรกตามรัฐธรรมนูญ 2540 ซึ่งดำรงตำแหน่ง 3 ปี กรรมการชุดนี้ยังกลับมาเป็นได้อีก จนฝ่ายค้านโวยว่า ตรากฎหมายเพื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง