ส่งเสริมคนดีให้ได้ปกครองบ้านเมือง

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

Sunday, 25 July 2010

จะต้อง ‘ยิงตัวตาย’ กันอีกกี่ศพ!!? โดย วาทตะวัน สุพรรณเภษัช

ที่มา vattavan


เมื่อ 27 พ.ค.2553 ผมได้เขียนบทความ
เรื่อง ‘มือปืน’ กับ ‘สไนเปอร์’ ของคู่ประเทศไทย
ให้แฟนๆอ่านกัน ได้ตั้งข้อตั้งข้อสังเกตเอาไว้ตอนหนึ่ง ดังนี้
....ต่อจากนี้ไป คำว่า ‘มือปืน’ กับ ‘สไนเปอร์’
หรือ ‘พลซุ่มยิง’ จะต้องกลายเป็นของคู่กับเมืองไทย ทั้งนี้เพราะ...
ต่อไปนี้ ในกรณีที่มีความขัดแย้งที่รุนแรง
ความต้องการในการจ้างวานใช้ คนที่ใช้ปืนลักษณะการซุ่มยิงได้
ก็จะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ยังผลให้จากนี้ไป
ราคงจะได้เห็นความปลอดภัยในชีวิตร่างกายของพวกนักการเมือง
ตลอดจนผู้คนในวงการธุรกิจ จะลดน้อยถอยลง
คนพวกนี้จะ ‘ตายโหง’ กันมากขึ้น!
สำหรับสภาวการณ์ปัจจุบัน ผมมีความเชื่อมั่นว่า...
เมื่อเวลาผ่านไป ข้อเท็จจริงต่างๆ
ก็จะหลั่งไหลมาปรากฏต่อสาธารณชนอีกมากมาย จากทั้งฝ่ายรัฐบาลและคู่ขัดแย้ง
(ดูรายละเอียดได้ที่(
http://www.vattavan.com/detail.php?cont_id=227)

นึกไม่ถึงว่าที่ตัวเองคาดการณ์เอาไว้ จะมาถึงเร็วขนาดนี้
เพราะหลังจากที่เขียนคอลัมน์ ลงไปไม่ถึง 2 เดือน
สิ่งที่คาดไว้ก็อุบัติขึ้น แค่วันที่ 11 ก.ค.2553 เท่านั้น
นายอำนาจ ศิริชัย นายก อบจ.นครสวรรค์ ก็ถูกคนร้ายลอบยิง
โดนลอบยิงเข้าที่คออาการสาหัส
ที่สนามหญ้าหน้าศาลากลางหลังเก่า ติดกับถนนโกสีย์ใต้
ต.นครสวรรค์ตก อ.เมือง จ.นครสวรรค์
อีกเพียง 5 ชั่วโมงถัดมา
นักการเมืองท้องถิ่นที่กำลังมีแววจะเป็นดาวรุ่งพุ่งแรง
สามารถเข้าสู่เวทีระดับชาติได้ไม่ยาก และอาจมีโอกาสคว้าตำแหน่งรัฐมนตรีด้วย
ก็เสียชีวิตลง
เจ้าหน้าที่คาดว่า อาจเป็น “ฝีมือสไนเปอร์” ที่แอบซุ่มยิงอยู่ใกล้กับที่เกิดเหตุ
โดยมีผู้ชี้เป้าให้สไนเปอร์
ก่อนลงมือ...ลั่นไกสังหาร!

การชันสูตรพลิกศพของเจ้าหน้าที่ จะทำให้การสอบสวนเรื่องนี้ชัดเจนขึ้น
เพราะจะทำให้ปรากฏชัดว่า

ผู้ตายนั้นตายเพราะ อาวุธปืนอะไร ขนาดไหน?
ประมาณว่าถูกยิงระยะไกลนั้น เป็นระยะทางเท่าใด?
สันนิษฐานได้ว่า คนยิงใช้อาวุธยิงระยะไกล
อำนาจทำลายล้างสูงแบบเดียวกันกับการยิงของ Sniper หรือ ‘พลซุ่มยิง’ ใช่หรือไม่? ฯลฯ

การขันสูตรพลิกศพ จึงเป็นเรื่องสำคัญ ต่อกระบวนการการสอบสวนเป็นอย่างยิ่ง!



ในเรื่องชันสูตรพลิกศพนี้
คนไทยมีชื่อเสียงมาก่อน จะเห็นได้จากหนังสือเรื่อง “เปาบุ้นจิ้น”
ฉบับขององค์กรคุรุสภาที่พิมพ์ตั้งแต่เมื่อ พ.ศ.2516 ซึ่งมีอยู่ 76 เรื่อง
ซึ่งที่ถือกันว่าเป็นฉบับที่สมบูรณ์ที่สุดที่มีอยู่ขณะนี้
ปรากฏว่ามีเรื่องการพิจารณาคดีของไทยเรา รวมอยู่ด้วย
ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะทางฝ่ายจีน มีความสัมพันธ์กับไทยมายาวนาน
คงประทับใจเรื่องการสอบสวน และตัดสินอรรถคดีของเมืองไทย
ซึ่งมีการชันสูตรพลิกศพรวมอยู่ด้วยนั้น
เพราะเป็นเรื่องที่แสดงความสามารถของผู้สืบสวนสอบสวน
และตุลาการผู้ตัดสินคดี ควรแก่การยกย่อง
หรือสมควรที่คนจีน จะนำมาเป็นตัวอย่างได้
ดังนั้น ฝ่ายจีนจึงนำเข้ามารวมไว้ในเรื่อง “การตัดสินคดีของเปาบุ้นจิ้น” ด้วย
หรือจะเป็นเรื่องที่คนไทย อาจเขียนเสริมเข้าไป
ตรงนี้ก็ต้องขอให้ทางผู้มีความรู้ภาษาจีน ลองตรวจสอบกันดูกับต้นฉบับ
เพราะผมไม่มีความสามารถในเรื่องภาษาจีน
แต่ก็จะขอย่อยเรื่องที่กล่าวถึง ในเวอร์ชั่นของ “วาทตะวัน” ให้ท่านฟังดังต่อไปนี้

ชายหญิงคู่หนึ่งผูกสมัครรักใคร่ แอบได้เสียกัน
ฝ่ายชายชื่อนายกอ ฝ่ายหญิงชื่อ อำแดงญอ เป็นบุตรของนายพอ กับ อำแดง ทอ
นายกออายุ 23 ฝ่ายหญิงวัยกำลังสาว 19 ปี แม้คนทั้งสองจะลักลอบเป็นผัวเมียกัน
แต่ผู้ใหญ่ฝ่ายสาวก็ไม่รู้เรื่อง
และไป รับขันหมากจากชายผู้ไม่ปรากฏนาม สินสอดทองหมั้นก็เป็นเงินมากอยู่พอควร
อำแดงญอเธอรักและหลงไหลนายกอมากได้ให้สัญญาว่า
แม้ฟ้าถล่มดินทลาย เธอก็จะรักผัวคือนายกอผู้นี้ แต่เพียงคนเดียว
และจะเบี้ยวการแต่งงานที่พ่อแม่ไปตกปากลงคำไว้แล้วด้วย
หล่อนไม่พูดเปล่าๆ ดันหอบเอาเงินทองของหมั้นส่วนหนึ่ง
ให้นายกอนำไปเก็บเอาไว้เป็นทุนเมื่อหนีไปอยู่กินร่วมกัน
ผู้หญิงอย่างอำแดงคนนี้ มีให้เห็นเยอะสมัยนี้
แต่งตอนเย็นไม่ให้เจ้าบ่าวนอนด้วย ตื่นเช้ากลายเป็นแม่ยก คือ
ยกเข้ายกของเจ้าบ่าวเกลี้ยงหนีไปอยู่กับผัวเก่า
ปล่อยเจ้าบ่าวต้องขึ้นโรงพักไปแจ้งความกันเลยทีเดียว!

วันเกิดเหตุร้ายนั้น นายกอร่ำสุราเข้าไปมาก
แต่ก็ยังมีสติดีอยู่ ลอบขึ้นเรือนของอำแดงญอ
และได้ร่วมอภิรมย์สมพาสกับแม่สาวไปหนึ่งครั้ง จนเสร็จเรียบร้อย
แล้วเกิดอาการกระหายน้ำ
นายกอจึงให้อำแดงญอ ไปตักน้ำน้ำให้กินชื่นใจ
ตอนนั้นฝนตกอยู่พอดี
สาวเจ้าจึงเอาขันไปรองน้ำฝนจากราง นำไปให้นายกอคู่สวาทสวีทฮาร์ท
ซึ่งก็ดื่มอั่กๆเข้าไปเพราะหิวจัด
ดื่มน้ำแล้วทั้งสองต่างก็หลับไหลไปด้วยอาการหมดแรง
เพราะทำกิรกรรมเข้าจังหวะหนักมากด้วยกันทั้งคู่
พอฟ้าสางอำแดงญอฟื้นตัวตื่น
เห็นแสงตะวันก็ตกใจ รีบปลุกนายกอรีบลงจากเรือนไปเสียก่อนพ่อแม่จะเห็นเข้า
พอเอามือเขย่าร่างของฝ่ายชายดู
ปรากฏว่าร่างเย็นเฉียบ แข็งทื่อตายหมดลมเด็ดสะมอเร่ตายไปเรียบร้อยแล้ว
ยุ่งละซีอีทีนี้!

อำแดงญอเธอร่ำไห้ด้วยความ เสียใจเจียนจะขาดใจตายตาม
แต่เมื่อยังไม่ตายก็ต้องไปบอกพ่อแม่
ซึ่งผู้เป็นบิดามารดาก็ตกใจนัก เพราะลูกสาวได้กระทำการอันบัดสียิ่ง
ซึ่งโบราณเขาเรียกว่า
"เป็นชู้เหนือขันหมาก"

สังคมไทยตอนนั้น รับไม่ได้ (ตอนนี้จะรับกันได้หรือยัง ผมก็ไม่รู้? )
ซึ่งถือกันว่าเป็นเรื่องที่น่าอับอายยิ่งนัก
แต่ด้วยความที่ตนเองเป็นคนซื่อสัตย์ สองคนผัวเมียผู้เป็นบุพการีของฝ่ายหญิง
ก็ไม่คิดปกปิดความจริง หรือเอาศพนายกอไปทิ้งนอกเรือน
หากแต่ได้ตรงไปบอกพ่อแม่นายกอให้รับรู้
บิดามารดาของผู้เคราะห์ร้าย ก็ตกใจร้องไห้โศกาอาดูรยิ่งนัก
ที่ลูกชายมาด่วนตายไป จึงพากันไปเชิญฝ่ายอำเภอมาชันสูตรพลิกศพ
ทางฝ่ายเจ้าหน้าที่อำเภอเห็นว่า
ไม่มีร่องรอยการทำร้ายและไม่ปรากฏบาดแผลบนตัวผู้ตาย ก็สรุปว่า
นายกอไม่ได้ตายเพราะถูกฆ่า พ่อกับแม่นายกอจึงนำศพลูกชายไปฝังไว้
เรื่องนี้ทำท่าจะจบลง แต่ไม่เป็นอย่างนั้น
ก็เพราะเมืองไทยมีคนสาระแนอยู่มาก โดยเฉพาะพวกหมอความสมัยนั้น
ได้มีหมอความตัวดีมายุยงให้พ่อแม่ของนายกอฟ้องร้อง ว่า
บิดามารดาของอำแดงญอ ร่วมกับลูกสาวคือตัวอำแดงญอ วางยาพิษลูกชายของตน
ซึ่งพ่อแม่นายกอก็เห็นชอบไปด้วย จึงมีการฟ้องร้องเรื่องนี้ไปสู่ศาลพระราชอาญาสมัยนั้น

ศาลพระราชอาญาจึงมีหมายเรียกตัว สามคนพ่อแม่ลูกจำเลยมาเบิกความ
ซึ่งทั้งพ่อและแม่ของอำแดงญอก็เบิกได้ตรงกัน
แต่อำแดงญอซึ่งเบิกความเจือสมกับพ่อแม่แล้ว ยังได้ให้การเพิ่มเติมไปด้วยว่า
ตนได้ยักยอกทรัพย์ที่ได้จากเงินทองของหมั้น นำไปให้นายกอไปเก็บรักษาไว้
เพื่อนำไปเป็นทุนเมื่อหนีไปอยู่ด้วยกัน
ศาลได้พิจารณาหาสาเหตุการตาย ด้วยการให้หมอมาชันสูตรใหม่
(เข้าใจว่าอำเภอมาตรวจคงไม่ได้ให้หมอมาดู หรือเป็นหมอชาวบ้านไม่มีวุฒิก็ไม่รู้)
คุณหมอพรทุบ (ผมตั้งชื่อให้เอง) ก็ให้ขุดศพนายกอขึ้นมา
หมอเอายากรอกกระทุ้งลงปากศพ แล้วผ่าศพดูลำไส้ก็รู้ว่าเป็นยาพิษ
เท่านั้น ยังไม่พอเพื่อให้ความแน่ใจ
จึงกราบบังคมทูลพระกรุณาเบิกเอานักโทษประหารมาบังคับให้กินยาพิษ
นักโทษตายแล้วก็เอาไปฝัง
พอได้สามวันเท่ากับฝังนายกอแล้วขุดศพขึ้นมา ก็ได้หลักฐานอย่างเดียวกันคือ
พยาธิสภาพของศพ...ไม่แตกต่างกัน!

ศาลพระราชอาญาชั้นต้น วินิจฉัยว่า
อำแดงญอ ร่วมกับบิดามารดาวางยาพิษผู้ตาย
จึงให้ประหารอำแดงญอให้ตายตกไปตามกัน และให้เฆี่ยนพ่อแม่ ๒ ยกหกสิบที
แล้วให้เอาไปขังไว้ตลอดชีวิต
อำแดงญออุทธรณ์
เนื้อความอุทธรณ์ มีสาระสำคัญอยู่ว่า

ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าผู้ตายถูกวางยานั้นชอบแล้ว
แต่ศาลรู้หรือพิสูจน์ได้อย่างไรว่า จำเลยเป็นผู้วางยาพิษ
หรือนายกอถูกวางยามาจากที่อื่นก็เป็นไปได้ และจำเลยได้ให้เหตุผลที่สำคัญว่า
ถ้าตัวอำแดงยอจะฆ่าคนทั้งที
แล้วทำไมจึงเอาทรัพย์สินของหมั้นไปฝากไว้กับคนรักคือ
นายกอที่ตนคิดจะฆ่านั้นด้วยเล่า
ศาลอุทธรณ์ได้พิจารณาลงมาว่า ตัวจำเลยคือ
อำแดงญอได้เบิกความมาเองว่า นายกอนั้นเมาสุรามาก่อน แต่ก็ยังกระทำ
อสัจธรรมสังวาส และขอน้ำกินได้ ตรงนี้ศาลวินิจฉัยว่า
หากนายกอถูกยาพิษเข้าจริง ก็คงไม่สามารถร่วมกิจประเวณี
อันต้องใช้กำลังพอสมควรได้ และศาลเชื่อว่า
คำให้การของอำแดงญอที่บอกว่า ออกไปรองน้ำนำไปให้นายกอดื่มกินนั้น
ทำให้ศาลอุทธรณ์เห็นว่าห้วงระยะเวลานี้เอง
เป็นโอกาสที่ทำให้อำแดงยอสามารถวางยาชู้รักของตัวเองได้
ศาลจึงตัดสินว่าที่ศาลพระราชอาญาชั้นต้นพิพากษาตัดสินมานั้น
เป็นอันชอบแล้วทุก ประการ
อำแดงญอสู้ไม่ถอย เธอยังให้หมอความ ยื่นคัดค้านคำพิพากษาต่อ
เนื้อความมีอยู่ว่า

ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ฝ่ายอำแดงญอไม่เห็นชอบด้วย
เพราะศาลเห็นชอบตามหมอที่ทดลอง
แต่หมอและศาลยังไม่ได้ทดลองเลยสักนิดหนึ่งว่า
คนเมาสุรามากแล้ว ดื่มน้ำฝนแล้ว จะตายได้หรือไม่? (ตรงนี้สำคัญ)

อีกประการหนึ่งศาลอุทธรณ์เอง ก็ยังไม่ได้วินิจฉัยว่า
ถ้าอำแดงญอคิดจะวางยาพิษแล้ว
เหตุไฉนจึงเอาทรัพย์สินของหมั้นค่าถึงหนึ่งพันชั่ง ไปฝากไว้กับคนรักคือนายกอ
ที่ตนคิดจะฆ่านั้นจะเป็นประโยชน์อันใดกันเล่า ?
อำแดงได้กราบบังคมทูล
ขอให้พระเจ้าอยู่หัวทรงวินิจฉัยให้สิ้นสุดกระแสความเสียก่อน
โดยขอให้ไปตรวจหาทรัพย์พันชั่งซึ่งตนยักยอกให้นายกอนำไปเก็บที่บ้าน
หากไม่พบของกลางที่บ้านของนายกอแล้วไซร้
อำแดงญอก็จะก้มหน้ารับพระราชอาญา
รับโทษประหารให้ถูกฆ่าตายตกไปตามกันนั้นเลยทีเดียว
พระเจ้าอยู่หัวผู้ทรงทศพิธราชธรรม ได้รับฎีกาของอำแดงแล้ว
ทรงลงพระนามส่งฎีกาให้องคมนตรีกรรมการศาลฎีกา ไต่สวนว่า

มีของกลางตามที่อำแดงญอ กล่าวอ้างจริงหรือไม่ ?
ถ้ามีสมจริงตามเนื้อความในฎีกา ก็ให้งดคำพิพากษาไว้ก่อน
และให้ประกาศหาตุลาการ มาพิจารณาหาความจริงแล้วจึงมีคำพิพากษาต่อไป
ปรากฏว่า ผลการตรวจหาของกลาง คือ
ของหมั้นที่อำแดงยักยอกไปให้ชายคนรัก อยู่ในตู้และหีบที่บ้านของผู้ตายจริง
สมดังฎีกาของจำเลยที่อ้างไว้จริง
ดังนั้น องคมนตรีกรรมการศาล จึงต้องประกาศหาตุลาการมาตัดสินคดีนี้
และมีผู้รับอาสามาเป็น ‘ตุลาการ’
ซึ่งเป็น ‘ตัวเอก’ ที่จะมาเดินเรื่องการตัดคดีความ เรื่องที่ยุ่งยากนี้
ชายผู้รับเป็นตุลาการอาสา ชื่อ “นายศี” (ศี สะกดตามต้นฉบับไม่ใช่ศรี)
แต่ชาวบ้านเรียกกันว่า “นายขุนศีแม่ตั้ง”
ซึ่งเป็นผู้สนใจในเรื่องกฎหมาย อีตาคนนี้แกไปศาลทุกวัน
แต่ไม่มีความจะมาให้แกชำระ ผู้คนจึงหัวเราะเยาะเอา เพราะตัวเองไม่ได้เป็นตุลาการ
ผู้คนจึงตั้งฉายาล้อเลียนให้แกว่าเป็น...
“ขุนศีแม่ตั้ง”
คงคล้ายคลึงกับ “คุณหญิงบ่าวตั้ง” ที่เป็นคำเรียกประชดพวกคุณนาย
ที่ยังไม่ได้มีคำนำหน้าเป็น “คุณหญิง” แม้ผัวจะเป็นใหญ่เป็นโต
เพราะเป็นถึงหัวหน้ากบฏที่ยึดอำนาจ
แต่ตัวเองยังไม่ได้เป็น “คุณหญิง” บ่าวไพร่หรือข้าราชการที่เป็นลูกน้องผัว
ซึ่งเป็นหัวหน้ากบฏ ที่มีสันดานสอพลอ จึงเรียกหล่อนว่าเป็น
“คุณหญิง”
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการประจบประแจงเอาใจ “คุณนาย”
ที่อยากพาสชั้นเป็น “คุณหญิง” อย่างนี้ผู้คนเขาเรียกว่า
“คุณหญิง...บ่าวตั้ง”

พอมีการประกาศรับสมัครอย่างนั้น ขุนศีแม่ตั้งจึงรับอาสาทันที
และได้รับแต่งตั้งให้เป็นตุลาการมาชำระคดี
ขุนศีแม่ตั้งเป็นผู้มีปฏิภาณไหวพริบ เพราะสนใจใฝ่ศึกษาสงสัยว่า
คนที่มีกำลังพอจะร่วมประเวณีได้
แต่กินน้ำฝนเข้าไปหน่อยเดียว ทำไมถึงแก่ความตายได้ ?
หรือเป็นเพราะในน้ำที่อีตานายกอแกดื่มเป็นพิษ
หรือรางน้ำอันเป็นทางไหลของน้ำ คงมีสิ่งมีอยู่เป็นแน่แท้
จึงให้นักการเอาบันใดปีนขึ้นไปดู เห็นกระดูกสัตว์เช่น
กระดูกหนู ที่นกแสกคาบกินแล้วตกอยู่ในราง
และยังมีกระดูก “งูทับสมิงคลา” ทั้งตัวมีเนื้อเหลือติดอยู่บ้าง ก็นำเอาลงมาให้
ขุนศีแม่ตั้งดู
ขุนศีแม่ตั้งจึงเอากระดูกงูทับสมิงคลาแช่น้ำ แล้วทูลขอพระบรมราชานุญาต
เบิกนักโทษประหารออกมาให้ดื่มเหล้าจนเมา แล้วเอาน้ำแช่กระดูกงูให้กิน ปรากฏว่า
นักโทษดิ้นพราดๆ ถึงแก่ความตาย ไปในบัดดล!
จึงให้เอาศพไปฝัง แล้วขุดนำขึ้นมามาผ่าดูอีก ปรากฏว่า
เครื่องในศพนักโทษ เหมือนกับนายกอทุกประการ
เมื่อได้ความชัดเจนดังนั้นแล้ว ขุนศีแม่ตั้งจึงทำคำพิพากษากราบบังคมทูล
ชี้เหตุแห่งการตายให้พระเจ้าอยู่หัวทรงทราบ โดยวินิจฉัยว่า
อำแดงญอไม่ได้กระทำความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง
พิพากษาให้ปล่อยอำแดงญอ กับพ่อแม่ไปเสีย จากการควบคุมของทางการ
ตัวขุนศีแม่ตั้งซึ่งเป็นตุลาการอาสาสมัคร
ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น “ขุนหลวงพระไกศี” คือ
เป็นทั้ง “ขุน” “หลวง” และ “พระ” ในฐานันดรเดียวกัน
เพื่อตอบแทนการวินิจฉัยคดีที่รอบคอบและเป็นแบบอย่างอันควรยกย่องสืบไป

ท่านผู้อ่าน ที่เคารพครับ
ที่ผมเล่ามายืดยาวพอสมควร
ก็ด้วยต้องการชี้ให้เห็นความสำคัญของงานด้านชันสูตรพลิกศพ
เพราะเมื่อตอนบ้านเมืองเรา ได้รับความเสียหายร้ายแรงจากคลื่นยักษ์ ‘สึนามิ’
ผู้คนทั้งไทยและเทศต้องล้มตายลงหลายพัน และบาดเจ็บอีกเป็นจำนวนมาก
ในครั้งนั้น นอกจากมีการชันสูตรพลิกศพ
ยังมีวิธีการพิสูจน์เอกลักษณ์ด้วยวิธีการสมัยใหม่อีกด้วย แต่ปรากฏว่า

การชันสูตรในตอนแรกๆนั้น มีการทำแบบลวกๆชุ่ยๆ ไม่ได้มาตรฐานโลก
มีคนเขาแอบถ่ายวีดีโอเอาไว้เป็นหลักฐาน“หมอกบาลฝอย”
เลยโดนเขี่ยออก หมดโอกาสจากการร่วมงานกับทีมแพทย์นานาชาติไป
ทำให้เสียชื่อเสียงประเทศไปโขอยู่ที่เดียว จนต้องมาแก้ไขกันภายหลัง จึงค่อยดีขึ้น

เรื่องการชันสูตรพลิกศพนั้น
เพราะเป็นการตรวจพิสูจน์ทางการแพทย์ และวิทยาศาสตร์สาขาสำคัญเลยทีเดียว
หลักการที่ต้องยึดถือ คือ
ต้องทำตามหลักวิชา ด้วยความละเอียดรอบคอบ ทั้งนี้
เพื่อหาสาเหตุการตายที่แท้จริง เพื่อขจัดความสงสัยของผู้คน
และอำนวยความยุติธรรมในการพิจารณาคดีด้วย
ท่านผู้อ่านคงพอสังเกตเห็นได้ว่า
ในยามนี้บ้านเมืองของเรา กำลังมีข่าวลือร้ายๆหลายเรื่อง
โดยเฉพาะข่าวลือที่เกี่ยวข้องกับทหาร ที่ถูกกล่าวหาว่า
สังหารประชาชนอย่างโหดเหี้ยม
โดยเฉพาะการสังหารพี่น้องประชาชนคนไทยไปหลายศพ ใน
วัดปทุมวนารามวรวิหาร ที่ดังไปทั่วโลก และปรากฏต่อมาว่า
ผู้บังคับกองพันทหารม้า
ซึ่งเป็นผู้ขออนุญาตท่านเจ้าอาวาสขอใช้พื้นที่วัดเป็นลายลักษณ์อักษร
และเป็นผู้หนึ่งที่รับผิดชอบในปฏิบัติการกระชากพื้นที่ จนถูกกล่าวหาว่า
กองทหารที่เขารับผิดชอบ มีส่วนต้องสงสัยว่า
เป็น “ฆาตกร” ที่ฆ่าพี่น้องเพื่อนร่วมชาติ!
ระหว่างที่มีการกล่าวหากันวุ่นวาย และความจริงยังไม่ได้รับการพิสูจน์
หนังสือพิมพ์ก็รายงานข่าวว่า

นายทหารคนดังกล่าว ชิงฆ่าตัวตาย โดยการใช้อาวุธปืนยิงตัวเอง!

จากนั้นไม่กี่วัน ก็มีการแก้ข่าวจากทางกองทัพว่า ไม่ได้เป็นการฆ่าตัวตาย
แต่เป็นอุบัติเหตุ..ปืนลั่น!
ผมเห็นว่า หากกองทัพจะพยายามกลบความจริง
เรื่องการที่นายทหารผู้นี้ฆ่าตัวตาย โดยทำให้เป็นเรื่องอุบัติเหตุปืนลั่น
ทั้งนี้เพื่อให้ครอบครัวของนายทหารผู้ตาย
ได้รับสิทธิประโยชน์และบำเหน็จตกทอด จากทางกองทัพอย่างเต็มที่
เพราะหากเป็นเรื่องฆ่าตัวตายแล้ว การเงินที่ทายาทจะได้รับ
และสิทธิประโยชน์สำหรับคอรบครัว ที่อยู่ข้างหลัง จะแตกต่างกันมาก
แม้จะมีความเห็นใจผู้ตาย
ซึ่งเป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่นหลังคนเขียนอยู่หลายรุ่นก็ตาม
แต่ก็ไม่สนับสนุนที่จะให้กองทัพยกเอา “เรื่องไม่จริง” มาพูดจา
หรือทำให้ผลการชันสูตรพลิกศพบิดเบือนไป ซึ่งไม่เป็นผลดีกับใครทั้งนั้น
เพราะเรื่องอย่างนี้มันใหญ่มาก ผู้คนจับจ้องอยู่
และการพิสูจน์หา “ความจริง” ก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเลย

ผมจึงต้องขอเตือน แพทย์และ/หรือพนักงานสอบสวน
ที่จะทำการแก้ไขผลการชันสูตรพลิกศพ จะต้องคิดถึงผลร้าย
ที่จะติดตามมาในวันข้างหน้า
เพราะผู้รับผิดชอบ อาจต้องเผชิญหน้ากับการแก่ต่าง
ในเรื่องของ “คดีอาญา” เลยทีเดียว
หากให้ผมแก้ปัญหา จะดำเนินการชันสูตรพลิกศพไปตามความจริง
และเสนอใช้เงินราชการลับสัก 10-20 ล้านบาท ให้ครอบครัวผู้ตายไปเลย
เพราะการที่นายทหารคนนี้ต้องเสียชีวิต ก็ด้วยเขาจำต้องเข้าไปมีส่วนร่วม
ในการปราบปรามประชาชน และเป็นเหตุแห่งตายของผู้คนจำนวนมาก

ทั้งนี้ ก็เป็นเพราะรัฐบาล กำหนดเขาให้ทำนั่นเอง!

ดังนั้น จึงสมควรจะตอบแทน ครอบครัวผู้ตายอย่างเต็มที่
เพราะขณะนี้ เสียงวิพากษ์วิจารณ์การตายของเขานั้น เกิดขึ้นอย่างมากมาย
ผู้คนร่ำลือกันไปต่างๆนานาๆ ตามประสาเมืองไทยเราเป็นแชมป์ข่าวลืออยู่แล้ว
ลือกันจนกระทั่ง เอามาพูดกันทางวิทยุกระจายเสียงเมื่อไม่กี่วันมานี้เอง
(ผมฟังอยู่พอดี) ในทำนองว่า



...อาจเป็นเพราะผู้ตาย
เกิดอาการ ‘จิตหลอน’ เนื่องจากภาพของประชาชนผู้บริสุทธิ์
ที่ถูกฆ่าตายลงอย่างเหี้ยมโหดในวัดปทุมฯ
ซึ่งเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะทหารของตน
ตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาและรัฐบาลโลซก
มาปรากฏในห้วงแห่งความนึกคิดของผู้ตายอยู่ตลอดเวลา
จนทำให้เกิดอาการเครียดจัด และนำไปสู่การตัดสินใจ...
...ปลิดชีวิตตนเองในที่สุด!

ตอนนี้ ชาวบ้านเขา ‘เมาท์จนแซ่ด’ ไปต่างๆนานา
ทั้งยังตั้งปุจฉา ซึ่งกันและกันด้วยว่า

ไอ้พวกฆ่าโหดประชาชน มันจะต้อง ‘ยิงตัวตาย’ กันอีกกี่ศพ!!?

************

(***คอลัมน์ ประจำสัปดาห์ตอน จะต้อง ‘ยิงตัวตาย’ กันอีกกี่ศพ!!?
ออนไลน์วันเสาร์ ที่ 24 กรกฎาคม 2553)