ที่มา thaifreenews
โดย poonnook
นับจากวันที่ 12 มีนาคม 2553 เป็นต้นมา รัฐบาลนายกอภิสิทธิ์ ได้ประกาศใช้ พรก. ความมั่นคงเพื่อควบคุมการชุมนุมของประชาชนผู้รักประชาธิปไตยที่จะมีขึ้น.. การระดมสรรพกำลังจากสื่อที่มีอยู่ในมือทุกรูปแบบในการสื่อข่าวออกมาในทางเดียวกันหมดว่า ประชาชนที่เข้ามาชุมนุมนั้นกำลังจะทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง.. โดยสร้างภาพให้เห็นว่าประชาชนเหล่านี้เป็นผู้กำลังจะล้มล้างสถาบัน.. ไม่จงรักภักดี.. และทำลายบ้านเมือง.. ขณะเดียวกันก็ประชาสัมพันธ์ภาพว่า รัฐบาลได้ยอมถอยจนถึงที่สุดแล้ว โดยไม่ใช้กำลังรุนแรงแต่อย่างใด..
แต่ทว่า... ก่อนหน้านั้นรัฐบาลได้ทำให้เห็นว่ามีการเตรียมรับกับสถานการณ์รุนแรงอย่างเต็มที่เช่น.. การจัดฝึกซ้อมการสลายการชุมนุม.. การตั้งด่านตามถนนเส้นต่างๆ เพื่อไม่ให้ประชาชนเข้ามารวมตัวกันที่กรุงเทพฯ ประกอบกับการออก พรก. ความมั่นคงในกรุงเทพฯ และจังหวัดโดยรอบนั้น..การกระทำเหล่านี้กลับมิได้แสดงออกให้เป็นไปตามที่รัฐบาลได้แสดงภาพออกมาแต่อย่างใด..
ผมได้ไปร่วมชุมนุมที่ราชประสงค์ในช่วงวันอาทิตย์ และจันทร์ที่ผ่านมา..และได้เห็นพลังแห่งศรัทธาที่ประชาชนต้องการประชาธิปไตยที่รวมตัวกันอยู่บนท้องถนนแห่งนั้น.. เป็นภาพที่น่าปลาบปลื้มอย่างที่สุด.. เสียงโห่ร้อง.. เสียงตบมือ.. เสียงตะโกน.. เสียงหัวเราะ.. เสียงเหล่านี้เป็นเหมือนเสียงสวรรค์ของประชาชนที่เรียกร้องประชาธิปไตย.. กระแสข่าวการล้อมปราบเพื่อสลายการชุมนุมมีมาอย่างต่อเนื่อง.. แต่มิได้ทำให้จิตใจของประชาชนผู้อยู่ในที่ชุมนุมหวั่นไหวแต่อย่างใด.. กลับยิ่งทำให้ฮึกเหิมมากยิ่งขึ้น..
จนที่สุดแล้วรัฐบาลถึงขั้นต้องประกาศ พรก. ฉุกเฉินร้ายแรง.. ในเขต กรุงเทพฯ และปริมณฑล.. ซึ่งเมื่อย้อนกลับไปวันที่ 12 เมษายนปี 2552 ซึ่งห้วงเวลาใกล้เคียงกันนี้.. รัฐบาลนายกอภิสิทธิ์ ก็ประกาศ พรก. ฉุกเฉินร้ายแรง นี้ด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งในครั้งนั้นประกาศที่ กระทรวงมหาดไทย.. แล้วก็มีการล้อมปราบประชาชนด้วยกำลังอาวุธในวันรุ่งขึ้นคือ 13 เมษายน ทำให้มีผู้บาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก..แม้จะมีการปกปิดข่าวเอาไว้ก็ตาม..
แต่ทว่าสิ่งที่น่านำมาพิจารณาก็คือ ในครั้งนี้แม้จะมีการประกาศ พรก. ฉุกเฉินร้ายแรง เต็มพื้นที่ กทม. แล้ว.. แต่กลับยิ่งทำให้มวลชนเพิ่มมากขึ้น.. และดูเหมือนจะไม่มีการเคลื่อนไหวในทางการทหารเพื่อทำการบังคับใช้กฎหมายตาม พรก. ฉุกเฉินร้ายแรงในทันที่ทันใดเหมือนดังเหตุการณ์เมื่อปีที่แล้ว.. ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น
เมื่อแรกเริ่มมีการชุมนุมประท้วงมีการขว้างระเบิดในสถานที่ต่าง ๆ เป็นระยะ ๆ ทั้งที่จับได้และไม่ได้.. แต่ก็ได้พิสูจน์ออกมาโดยหลักฐานว่า..น่าจะเป็นการสร้างสถานการณ์ของฝ่ายเผด็จการเองเช่น การขว้างระเบิดที่ ธนาคารกรุงเทพฯ หรือการยิ่งถล่มด้วย m79 ที่ลานจอดรถกระทรวงสาธารณสุข (ภายหลังที่การประชุม ครม. จบสิ้นลงแล้ว).. ภาพที่ปรากฎออกมาขณะนั้น รวมถึงการประชาสัมพันธ์จากสื่อของรัฐทำให้ประชาชนผู้รักประชาธิปไตยถูกวาดภาพว่าเป็นกลุ่มคนผู้นิยมความรุนแรง.. เพื่อที่รัฐบาลจะใช้ข้อกล่าวหานี้ในการล้อมปราบประชาชนดังเช่นที่เคยมา..
แต่ครั้งนี้มีสิ่งที่ต่างออกไปก็คือ.. นอกจากจะมีระเบิด M67, M79 จากฝ่ายอำนาจเผด็จการแล้ว..กลับมี M67 จากกองกำลังไม่ทราบฝ่ายถล่มหน่วยทหารต่าง ๆ รวมถึงร้ายแรงที่สุดมี คาร์บอม เกิดขึ้นที่ โพไซดอนอีกด้วย... และผลแห่งการระเบิดที่เกิดขึ้นจากกองกำลังไม่ทราบฝ่ายเหล่านี้ส่งผลกระทบทันทีสิ่งนั้นก็คือ“ศาลแพ่งยกคำร้องของ ศอ.รส.” ที่จะให้ประชาชนผู้รักประชาธิปไตยออกจากพื้นราชประสงค์.. โดยศาลแพ่งได้อ้างว่า ศอ. รส. มีอำนาจในการบังคับใช้กฎหมายอยู่แล้ว.. จึงไม่จำเป็นต้องมาขออำนาจศาลอีก..
ศาลที่ไม่เคยตัดสินเข้าข้างประชาชนผู้รักประชาธิปไตยมาก่อน กลับลำชนิด 360 องศา มีความหมายโดยนัยยะ ที่กินลึกมากก็คือ.. ฝ่ายเผด็จการเริ่มที่จะรู้ตัวแล้วว่า กลุ่มพี่น้องผู้รักประชาชนผู้รักประชาธิปไตย มิได้มีเพียงแต่ประชาชนมือเปล่าเท่านั้น แต่มีผู้สนับสนุนที่เป็นกองกำลังด้วย... และที่สำคัญก็คือ “กองกำลังนี้ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใด หรืออยู่ที่ไหนบ้าง” พูดง่าย ๆ ก็คือ “เมื่อใดที่เผด็จการใช้กำลังอาวุธล้อมปราบประชาชน..เมื่อนั้นก็จะมีกำลังอาวุธออกมาโจมตีเผด็จการด้วยเช่นกัน”..
เผด็จการยังคงใช้วิธีการเดิม ๆ ก็คือ “ปิดเวปไซด์, ปิดทีวี, ปิดสื่อของประชาชน” แล้วใช้สื่อของรัฐบิดเบือนใส่ร้าย.. เพื่อสร้างความชอบธรรมในการใช้กำลัง... แต่ทว่าการชุมนุมในครั้งนี้มีเนื้อหาที่ผิดไปจากแต่ก่อนอย่างสิ้นเชิง.. ด้วยเหตุนี้ถ้ารัฐบาลเผด็จการสั่งปราบปรามประชาชนและ “ถ้ามีประชาชนแม้แต่เพียงคนเดียวเสียชีวิตจากการปราบปรามนี้...ผู้สั่งการให้มีการปราบปรามประชาชนต้องรับผิดชอบ” และการรับผิดชอบครั้งนี้ “ราคาสูงมาก” เพราะหมายถึง ประเทศไทยจะต้องมีการเปลี่ยนโครงสร้างแห่งอำนาจกันใหม่ทั้งหมดโดยทำให้ประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศที่แท้จริงนั้นได้เป็นผู้ใช้อำนาจประชาธิปไตยตามความหมายที่แท้จริง..
พี่น้องผู้รักประชาธิปไตยทุกท่านครับ.. “วัน ว. เวลา ณ.” ได้มาถึงแล้ว... วันแห่งการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่เราทุกคนได้เรียกร้องกันมาตลอด 3 – 4 ปีนี้ มาจนถึงจุดที่ต้องเข้าไปสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงแล้ว..ไม่มีเวลาที่จะต้องพิจารณาสิ่งใดกันอีกแล้วครับ.. ขอให้กำลังใจและหนุนใจทุก ๆ ท่านให้ระลึกถึงคำกล่าวของ พระยาตากสิน.. ในวันที่จะนำทัพตีเมืองจันทบุรี พระองค์ได้กล่าวว่า“เราจะตีเมืองจันทบุรีในค่ำวันนี้เมื่อหุงข้าวเย็นกินเสร็จแล้ว ทั้งนายและไพร่ให้เทอาหารที่เหลือทิ้งและต่อยหม้อข้าวเสียให้หมดหมายไปกินข้าวเช้าด้วยกันในเมืองพรุ่งนี้ ถ้าตีเอาเมืองจันท์ไม่ได้ ในค่ำวันนี้ก็จะได้ตายเสียด้วยกันทั้งหมด”
เมื่อเราได้ประชาธิปไตยที่แท้จริงมาเป็นของประชาชนอย่างสมบูรณ์แล้ว เมื่อนั้นเราจะเลี้ยงฉลองกันทั้งประเทศ ด้วยความสุขเพื่อลูกหลานของเราต่อไปในอนาคต..
แต่ทว่า... ก่อนหน้านั้นรัฐบาลได้ทำให้เห็นว่ามีการเตรียมรับกับสถานการณ์รุนแรงอย่างเต็มที่เช่น.. การจัดฝึกซ้อมการสลายการชุมนุม.. การตั้งด่านตามถนนเส้นต่างๆ เพื่อไม่ให้ประชาชนเข้ามารวมตัวกันที่กรุงเทพฯ ประกอบกับการออก พรก. ความมั่นคงในกรุงเทพฯ และจังหวัดโดยรอบนั้น..การกระทำเหล่านี้กลับมิได้แสดงออกให้เป็นไปตามที่รัฐบาลได้แสดงภาพออกมาแต่อย่างใด..
ผมได้ไปร่วมชุมนุมที่ราชประสงค์ในช่วงวันอาทิตย์ และจันทร์ที่ผ่านมา..และได้เห็นพลังแห่งศรัทธาที่ประชาชนต้องการประชาธิปไตยที่รวมตัวกันอยู่บนท้องถนนแห่งนั้น.. เป็นภาพที่น่าปลาบปลื้มอย่างที่สุด.. เสียงโห่ร้อง.. เสียงตบมือ.. เสียงตะโกน.. เสียงหัวเราะ.. เสียงเหล่านี้เป็นเหมือนเสียงสวรรค์ของประชาชนที่เรียกร้องประชาธิปไตย.. กระแสข่าวการล้อมปราบเพื่อสลายการชุมนุมมีมาอย่างต่อเนื่อง.. แต่มิได้ทำให้จิตใจของประชาชนผู้อยู่ในที่ชุมนุมหวั่นไหวแต่อย่างใด.. กลับยิ่งทำให้ฮึกเหิมมากยิ่งขึ้น..
จนที่สุดแล้วรัฐบาลถึงขั้นต้องประกาศ พรก. ฉุกเฉินร้ายแรง.. ในเขต กรุงเทพฯ และปริมณฑล.. ซึ่งเมื่อย้อนกลับไปวันที่ 12 เมษายนปี 2552 ซึ่งห้วงเวลาใกล้เคียงกันนี้.. รัฐบาลนายกอภิสิทธิ์ ก็ประกาศ พรก. ฉุกเฉินร้ายแรง นี้ด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งในครั้งนั้นประกาศที่ กระทรวงมหาดไทย.. แล้วก็มีการล้อมปราบประชาชนด้วยกำลังอาวุธในวันรุ่งขึ้นคือ 13 เมษายน ทำให้มีผู้บาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก..แม้จะมีการปกปิดข่าวเอาไว้ก็ตาม..
แต่ทว่าสิ่งที่น่านำมาพิจารณาก็คือ ในครั้งนี้แม้จะมีการประกาศ พรก. ฉุกเฉินร้ายแรง เต็มพื้นที่ กทม. แล้ว.. แต่กลับยิ่งทำให้มวลชนเพิ่มมากขึ้น.. และดูเหมือนจะไม่มีการเคลื่อนไหวในทางการทหารเพื่อทำการบังคับใช้กฎหมายตาม พรก. ฉุกเฉินร้ายแรงในทันที่ทันใดเหมือนดังเหตุการณ์เมื่อปีที่แล้ว.. ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น
เมื่อแรกเริ่มมีการชุมนุมประท้วงมีการขว้างระเบิดในสถานที่ต่าง ๆ เป็นระยะ ๆ ทั้งที่จับได้และไม่ได้.. แต่ก็ได้พิสูจน์ออกมาโดยหลักฐานว่า..น่าจะเป็นการสร้างสถานการณ์ของฝ่ายเผด็จการเองเช่น การขว้างระเบิดที่ ธนาคารกรุงเทพฯ หรือการยิ่งถล่มด้วย m79 ที่ลานจอดรถกระทรวงสาธารณสุข (ภายหลังที่การประชุม ครม. จบสิ้นลงแล้ว).. ภาพที่ปรากฎออกมาขณะนั้น รวมถึงการประชาสัมพันธ์จากสื่อของรัฐทำให้ประชาชนผู้รักประชาธิปไตยถูกวาดภาพว่าเป็นกลุ่มคนผู้นิยมความรุนแรง.. เพื่อที่รัฐบาลจะใช้ข้อกล่าวหานี้ในการล้อมปราบประชาชนดังเช่นที่เคยมา..
แต่ครั้งนี้มีสิ่งที่ต่างออกไปก็คือ.. นอกจากจะมีระเบิด M67, M79 จากฝ่ายอำนาจเผด็จการแล้ว..กลับมี M67 จากกองกำลังไม่ทราบฝ่ายถล่มหน่วยทหารต่าง ๆ รวมถึงร้ายแรงที่สุดมี คาร์บอม เกิดขึ้นที่ โพไซดอนอีกด้วย... และผลแห่งการระเบิดที่เกิดขึ้นจากกองกำลังไม่ทราบฝ่ายเหล่านี้ส่งผลกระทบทันทีสิ่งนั้นก็คือ“ศาลแพ่งยกคำร้องของ ศอ.รส.” ที่จะให้ประชาชนผู้รักประชาธิปไตยออกจากพื้นราชประสงค์.. โดยศาลแพ่งได้อ้างว่า ศอ. รส. มีอำนาจในการบังคับใช้กฎหมายอยู่แล้ว.. จึงไม่จำเป็นต้องมาขออำนาจศาลอีก..
ศาลที่ไม่เคยตัดสินเข้าข้างประชาชนผู้รักประชาธิปไตยมาก่อน กลับลำชนิด 360 องศา มีความหมายโดยนัยยะ ที่กินลึกมากก็คือ.. ฝ่ายเผด็จการเริ่มที่จะรู้ตัวแล้วว่า กลุ่มพี่น้องผู้รักประชาชนผู้รักประชาธิปไตย มิได้มีเพียงแต่ประชาชนมือเปล่าเท่านั้น แต่มีผู้สนับสนุนที่เป็นกองกำลังด้วย... และที่สำคัญก็คือ “กองกำลังนี้ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใด หรืออยู่ที่ไหนบ้าง” พูดง่าย ๆ ก็คือ “เมื่อใดที่เผด็จการใช้กำลังอาวุธล้อมปราบประชาชน..เมื่อนั้นก็จะมีกำลังอาวุธออกมาโจมตีเผด็จการด้วยเช่นกัน”..
เผด็จการยังคงใช้วิธีการเดิม ๆ ก็คือ “ปิดเวปไซด์, ปิดทีวี, ปิดสื่อของประชาชน” แล้วใช้สื่อของรัฐบิดเบือนใส่ร้าย.. เพื่อสร้างความชอบธรรมในการใช้กำลัง... แต่ทว่าการชุมนุมในครั้งนี้มีเนื้อหาที่ผิดไปจากแต่ก่อนอย่างสิ้นเชิง.. ด้วยเหตุนี้ถ้ารัฐบาลเผด็จการสั่งปราบปรามประชาชนและ “ถ้ามีประชาชนแม้แต่เพียงคนเดียวเสียชีวิตจากการปราบปรามนี้...ผู้สั่งการให้มีการปราบปรามประชาชนต้องรับผิดชอบ” และการรับผิดชอบครั้งนี้ “ราคาสูงมาก” เพราะหมายถึง ประเทศไทยจะต้องมีการเปลี่ยนโครงสร้างแห่งอำนาจกันใหม่ทั้งหมดโดยทำให้ประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศที่แท้จริงนั้นได้เป็นผู้ใช้อำนาจประชาธิปไตยตามความหมายที่แท้จริง..
พี่น้องผู้รักประชาธิปไตยทุกท่านครับ.. “วัน ว. เวลา ณ.” ได้มาถึงแล้ว... วันแห่งการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่เราทุกคนได้เรียกร้องกันมาตลอด 3 – 4 ปีนี้ มาจนถึงจุดที่ต้องเข้าไปสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงแล้ว..ไม่มีเวลาที่จะต้องพิจารณาสิ่งใดกันอีกแล้วครับ.. ขอให้กำลังใจและหนุนใจทุก ๆ ท่านให้ระลึกถึงคำกล่าวของ พระยาตากสิน.. ในวันที่จะนำทัพตีเมืองจันทบุรี พระองค์ได้กล่าวว่า“เราจะตีเมืองจันทบุรีในค่ำวันนี้เมื่อหุงข้าวเย็นกินเสร็จแล้ว ทั้งนายและไพร่ให้เทอาหารที่เหลือทิ้งและต่อยหม้อข้าวเสียให้หมดหมายไปกินข้าวเช้าด้วยกันในเมืองพรุ่งนี้ ถ้าตีเอาเมืองจันท์ไม่ได้ ในค่ำวันนี้ก็จะได้ตายเสียด้วยกันทั้งหมด”
เมื่อเราได้ประชาธิปไตยที่แท้จริงมาเป็นของประชาชนอย่างสมบูรณ์แล้ว เมื่อนั้นเราจะเลี้ยงฉลองกันทั้งประเทศ ด้วยความสุขเพื่อลูกหลานของเราต่อไปในอนาคต..