ที่มา Thai E-News
การลงประชามติในครั้งนี้ จะเป็นเพียง ทางเดินที่ตีบตันทั้งในปัจจุบันและในอนาคต การแก้ไขรัฐธรรมนูญของฝ่ายรัฐบาลในครั้งนี้ จึงเป็นเพียงทางเดินที่แคบ จึงเห็นว่า “การยุบสภา”เป็นทางออกทางเดียวที่เหลืออยู่ เพราะอาจป้องกันการปฎิวัติ หรือการเสียเลือดเนื้อของคนไทยด้วยกัน จากการทำสงครามทางชนชั้น ระหว่าง ชาวไพร่ กับ ทหารซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้รับใช้ระบอบอำมาตยาธิปไตย
โดย พีระพงษ์ ไพรินทร์ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ สำนักงาน กกต.
1 เมษายน 2553
“ การลงประชามติ ต้องทำหรือไม่ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ต้องทำอย่างไร การยุบสภา ทำเพื่อใคร ”
นี่คือ คำถามที่ทำให้เกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงในสังคมไทยปัจจุบัน จนอาจนำไปสู่การ “ปฏิวัติ”โดยทหารอีกครั้ง
หรือ อาจนำไปสู่การต่อสู้ของประชาชนชาวไพร่ กับ เหล่าอำมาตยาธิปไตย ภายใต้หลักการของ“สงครามชนชั้น”
ผู้เขียน ขอเสนอแนวคิด อันอาจก่อให้เกิดประโยชน์ต่อชาติบ้านเมือง ด้วยความสุจริตใจ ด้วยจิตวิญญาณ
และด้วยจิตสำนึกต่อหน้าที่ ในการรักษาไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ดังนี้
ประเด็นแรก “ การลงประชามติ ต้องทำหรือไม่ ”
จากแนวทางของพรรคประชาธิปัตย์ ที่จะเสนอให้มีการลงประชามติ ในเวลาประมาณ 3 เดือน คาดว่าจะรู้ผลภายในเดือนกรกฎาคม และจะเสนอเข้าที่ประชุมรัฐสภาเพื่อพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญภายใน 120 วัน แล้วจึงเข้าสู่กระบวนการทำประชาพิจารณ์ ซึ่งจะประกาศบังคับใช้รัฐธรรมนูญใหม่ได้ในปลายเดือน พ.ย. ทำให้อาจประกาศยุบสภาได้ในปลายเดือน พ.ย. นี้เช่นกัน
จึงคาดว่า กกต.น่าจะเลือกตั้งใหม่ได้ประมาณ เดือน มกราคม 2554 กล่าวคือ นับจากนี้ไปอีกประมาณ 10 เดือน โดยที่รัฐบาลจะมีการเสนอ ครม. ให้จัดการลงประชามติ ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 6 ประเด็น คือ
1. ที่มาของ สส.
2. ที่มาของ สว.
3. มาตรา 190
4. แก้ไขโทษยุบพรรค
5. การดำรงตำแหน่งทางการเมือง
6. การห้าม สส., สว. ก้าวก่ายการทำงาน
ประชามติ มีความหมายตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 ว่า “มติของประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศที่แสดงออกในเรื่องใดเรื่องหนึ่งหรือที่ใดที่หนึ่ง ; มติของประชาชนที่รัฐให้สิทธิออกเสียงลงคะแนนรับรองร่างกฎหมายที่สำคัญ ที่ได้ผ่านสภานิติบัญญัติแล้ว หรือให้ตัดสินปัญหาสำคัญในการบริหารประเทศ”
การลงประชามติเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ จึงเป็นรูปแบบประชาธิปไตยทางตรงที่ประชาชนใช้สิทธิในการแสดงออกถึงความต้องการทางด้านการเมืองการปกครองของประเทศ ซึ่งการลงประชามติ เพื่อให้ความเห็นชอบในร่างรัฐธรรมนูญที่ผ่านมาจึงแตกต่างจากการลงประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญในคราวนี้ เพราะที่ผ่านมาเป็นการให้ประชาชนให้ความเห็นชอบในการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับแต่ในครั้งนี้เป็นเพียงบางมาตราเท่านั้น
ในปี พ.ศ. 2478 ฟิลิปปินส์เป็นประเทศแรกในเอเชียที่ดำเนินการลงประชามติ และต่อมาได้จัดให้มีการลงประชามติ อีกถึง 12 ครั้ง โดยเป็นการลงประชามติเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ 3 ครั้ง
นอกจากนั้นประเทศกัมพูชา ก็ยังเคยจัดให้มีการลงประชามติให้มีการการยอมรับรัฐธรรมนูญ ปี พ.ศ. 2515
หรือ ประเทศ พม่า ในปี พ.ศ. 2516 เป็นต้น
การให้ประชาชนลงประชามติ ในเรื่องที่สำคัญแม้จะเป็นสิ่งดีที่ให้สิทธิแก่ประชาชนในการตัดสินใจ แต่ก็พึงต้องระมัดระวังว่าอำนาจในประเทศขณะนั้นเป็นของผู้ใดหรือกลุ่มใด เพราะอาจเป็นเพียงเครื่องมือของกลุ่มคนที่ควบคุมอำนาจอยู่
เช่น ในประเทศฝรั่งเศส สมัยนายพลเดอโกลล์ หรือสมัยมาร์กอส ในประเทศฟิลิปปินส์ที่ปกครองแบบเผด็จการ เขาได้ใช้ฐานเสียงให้ประชาชนยอมรับรัฐธรรมนูญ 87.6% และยังหยั่งเสียงประชามติให้ประชาชนทำให้เขาอยู่ในอำนาจต่อไปอีก 6 ปีด้วยเสียงประชามติถึง 87.5%
หลักทั่วไปก่อนการทำประชามติ จะต้องจัดให้มี กระบวนการจัดทำประชาพิจารณ์(Public hearing) ซึ่งก็หมายถึง การรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในเรื่องดังกล่าว โดยต้องจัดให้มีการแสดงความคิดเห็นจากประชาชนทุกหมู่เหล่าอย่างกว้างขวาง เพื่อให้ไดัข้อสรุปความคิดเห็นของประชาชนส่วนใหญ่อย่างแท้จริง ก่อนที่จะจัดให้มีการลงประชามติในเรื่องนั้น
กล่าวคือเป็นทั้งการรับและการให้ข้อมูลแก่สาธารณชน เพื่อขอรับทราบความคิดเห็น (Public Proposal) หรือเป็นการปรึกษาหารือ (Public consultation) นั่นเอง ซึ่งกระบวนการเหล่านี้รัฐบาลก็คงจะให้เหตุผลว่าได้เคยทำกันมามากมายแล้ว ทั้งในแวดวงวิชาการและในกระบวนการทางรัฐสภา แต่หากจะพิจารณาถึงประเด็นดังกล่าว รัฐบาลจะต้องหาคำตอบต่อโจทก์ต่อไปนี้
ประการแรก ประชาชนในท้องถิ่นซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ อาจไม่เข้าใจว่ารัฐธรรมนูญแต่ละมาตรานั้นสำคัญอย่างไร การรณรงค์ให้ความรู้แก่ประชาชน จะดีเพียงพอหรือไม่ หรือจะต้องให้ทหาร , ฝ่ายปกครอง เข้าไปชี้นำประชาชนเช่นที่เคยเป็นมา มากกว่าการสร้างให้เกิดความเข้าใจ
ประการที่สอง การลงประชามติทั้ง 6 ประเด็น จะเป็นไปตามหลักวิชาการที่ถูกต้องจริงหรือไม่
และข้อเสนอในการแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าว เป็นประโยชน์ต่อ ผู้เล่นการเมือง หรือ พรรคการเมือง รวมทั้งผู้ที่จะดำรงตำแหน่งทางการเมืองในอนาคต หรือ จะก่อให้เกิดประโยชน์โดยตรงต่อประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ซึ่งจะตอบสนองต่อการแก้ปัญหาความขัดแย้งในสังคมที่เป็นอยู่ รวมไปถึงผลกระทบโดยตรงที่จะมีต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนคนไทยทุกคน
ทั้งในปัจจุบันและอนาคตอย่างไร หรือไม่
นั่นคือคำตอบว่า การจัดให้มีการลงประชามติ เป็นเพียงหน้าฉากทางการเมือง เพื่อเส้นทางสู่ชัยชนะของนักการเมือง มิใช่เส้นทางสู่ชัยชนะของประชาชนตามระบอบประชาธิปไตย
ผู้เขียนจึงเห็นว่า “ การลงประชามติในครั้งนี้ จะเป็นเพียง ทางเดินที่ตีบตันทั้งในปัจจุบันและในอนาคต “
*****
ประเด็นที่สอง “ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ต้องทำอย่างไร ”
นอกจากการแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้ จะเริ่มต้นด้วยการลงประชามติ ไปจนถึงการแก้ไขในรัฐสภา แต่ที่ผ่านมาประเทศไทยก็ยังมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ด้วยการปฎิวัติรัฐประหาร แต่ในครั้งนี้ก็อาจมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วยการเสียเลือดเนื้อของคนไทยด้วยกัน จากการทำสงครามทางชนชั้น ระหว่าง ชาวไพร่ ผู้นิยมชมชอบอดีตนายกฯทักษิณ กับ ทหารผู้ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้รับใช้ระบอบอำมาตยาธิปไตย ก็เป็นได้
ด้วยเหตุนี้ไม่ว่ารัฐบาลจะแก้ไขรัฐธรรมนูญไปอย่างไร ด้วยวิธีใด หรือ ด้วยในเวลาใดก็ตาม ย่อมต้องเผชิญกับความขัดแย้งอย่างรุนแรง ซึ่งไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ผู้เขียนจึงเห็นว่า “ การแก้ไขรัฐธรรมนูญของฝ่ายรัฐบาลในครั้งนี้ จึงเป็นเพียง ทางเดินที่แคบซึ่งไม่อาจนำไปสู่ เส้นทางเดินอันสะดวกสบายในปัจจุบันและในอนาคต “
ประเด็นที่สาม “ การยุบสภา ทำเพื่อใคร ”
การปกครองระบอบประชาธิปไตย ไม่อาจปฎิเสธ สุนทรพจน์ ของ อับราฮัมลิงส์คอน อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ที่กล่าวในวันซึ่งประเทศสหรัฐอเมริกา ประกาศความเป็นรัฐชาติแห่งตน ที่ว่า “ เป็นการปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน ”
การยุบสภา จึงเป็นการตอบสนองต่อปรัชญาดังกล่าว เพราะการยุบสภามิใช่เพียงเป็นของ นปช. ,รัฐบาล ,ทหาร ,หรือใครๆ หากแต่เป็นการตอบสนองต่อความต้องการของ “ประชาชน” นั่นเอง
แต่หากมีบางคนต้องการพิสูจน์ว่า ผู้ร้องขอให้ยุบสภาเป็นคนส่วนน้อยหรือคนส่วนใหญ่ของประเทศ ก็ย่อมทำได้ ด้วยการลงประชามติ ซึ่งก็ยิ่งจะเป็นการเพิ่มรอยปริให้เห็นถึงรอยแตกแยกและความขัดแย้งที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
อีกทั้งการลงประชามติและการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่จะจัดให้มีขึ้น ก็มิได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความต้องการของคนส่วนใหญ่ ในประเทศว่า มีความต้องการให้เกิดการยุบสภาด้วยหรือไม่ เช่นกัน
ผู้เขียนจึงเห็นว่า “การยุบสภา” จึงเป็นทางออก ทางเดียวที่เหลืออยู่ เพราะอาจเป็นการ ป้องกันการปฎิวัติ
หรืออาจเป็นการยับยั้งการทำสงครามทางชนชั้น และยังอาจเป็นการลดความขัดแย้งทางสังคม เพื่อการนำไปสู่การคืนอำนาจ การตัดสินใจให้กับประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจตามระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
ดังนั้น 15 วัน, 3 เดือน หรือ 9 เดือน เป็นข้อเสนอที่ต้องการทำไป เพื่ออะไร หรือ เพื่อใคร..........
----------------------------------