บทความโดย...ลูกชาวนาไทย
หากเราประเมินสถานการณ์ต่อต้านการชุมนุมของคนเสื้อแดง โดยฝ่ายรัฐบาล เราคงไม่อาจประเมินได้จากการประโคมข่าวของสื่อ หรือจากโฆษกรัฐบาล หรือคำพูดของนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เพราะนั่นเป็นการโปรประกันดา เป็นการพูดคุยโวที่เกินจริง
ถ้าหากเราสมมุติว่าเหตุการณ์นี้เป็นการรบ การทำสงครามระหว่างสองกองทัพ สองประเทศ (ประเทศเสื้อเหลือง กับประเทศเสื้อแดง) เราก็ต้องดูผลการรบ ที่แนวรบเป็นสำคัญ ไม่ใช่ดูผลที่การโปรประกันดาของฝ่ายตรงข้าม
กองทัพเสื้อแดงเคลื่อนพลจากอีสาน เหนือ ใต้ กทม. และตะวันตกเข้าสู่เมืองหลวง สภาพการเคลื่อนพลนี้ สงครามเก้าทัพของพม่ายังเทียบเท่าไม่ได้เลย พื้นที่การรบไม่มีแนวหน้า ทั้งประเทศกลายเป็นสมรภูมิหมดสิ้น
สภาพการต่อต้านของกองทัพรัฐบาลที่ประกาศผ่านสื่อในเครือข่ายอย่างใหญ่โต หรือมีข่าวการตั้งวอร์รูมต่อต้านคนเสื้อแดง มีมาตรการต่างๆมากมาย ขู่ว่าจะใช้กฎหมายนับสิบฉบับ สภาพการณ์อย่างนี้ราวกับว่า ฝ่ายรัฐบาลได้สร้าง "แนวป้องกันมายิโนต์" ขึ้นตั้งรับกองทัพเสื้อแดงเรียบร้อยแล้ว เป็นแนวป้องกันที่ไม่มีกองทัพใดทะลวงผ่านได้
แต่ผลการเคลื่อนพลตั้งแต่เมื่อวานนี้ "แนวต้านทาน" ของฝ่ายรัฐบาล อ่อนแอยิ่ง เรียกว่า กองทัพเสื้อแดงบุกผ่านได้โดยไม่มีการต่อต้านจากทัพฝ่ายอำมาตย์เลยก็ว่าได้ จึงประเมินได้ว่า"แนวตั้งรับ" ของอำมาตย์ นั้นได้ล่มสลายไปแล้ว
ทำไมจึงล่มสลาย หากดูจากข่าวการสกัดของเจ้าหน้าที่ตามจุดต่างๆจะเห็นว่าไม่ได้มีการสะกัดคนเสื้อแดงอย่างจริงจัง บางด่านเป็นใจกับเสื้อแดง นั่นหมายถึง "ข้าราชการระดับปฎิบัติ" ไม่ทำตามคำสั่งแล้ว ไปตั้งรับตามหน้าที่ แต่ไม่มีการต่อต้าน หากเป็นการรบ ก็ถือได้ว่า ทหารฝ่ายต่อต้าน "ลดปืนลงหมด" เปิดทางโดยไม่มีการขัดขวางแต่อย่างใด
ผมทราบจากข่าวบางสายมาว่า "อำมาตย์สั่งการ"ให้กองกำลังพยัคฆ์บูรพา เตรียมพร้อมเต็มที่ แต่ให้เขาประเมินว่า ได้กำลัง 42 กองพัน แบบกบถเมษาฮาวายหรือ ไม่ เขาบอกว่าไม่ถึงขนาดนั้น รวมทหารที่สั่งได้ประมาณ 5,000 คน เท่านั้น
5,000 VS 1,000,000
จะสลายม็อบ 1 ล้าน ด้วยกำลัง 5,000 คน นั้นมีทางเดียวคือ "ฆ่าทิ้งให้มากเพื่อสร้างBalance of Terror หรือดุบลแห่งความกลัวขึ้น ให้ม็อบกลัวแล้วก็สลายตัวไป คงต้องฆ่า ทำลายล้าง กวาดล้างด้วยอาวุธ ตายไม่ต่ำกว่า 5,000 คน
ผมยังไม่คิดถึงประเด็นว่าจะ "ทำได้หรือไม่" นะครับ แต่วิธีการสลายม็อบ 1 ล้านคน ด้วยกำลังทหารอาวุธเต็มอัตราศึก 5,000 คน ไม่มีหนทางอื่นหรอกครับ
วันนี้อำมาตย์ คุมทหารที่พวกเขาคิดว่า "มั่นใจได้"แค่นี้เท่านั้นเอง
ดุลยภาพของสงคราม เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงแล้ว
อย่าเพิ่งคิดว่าเสื้อแดงจะชนะนะครับ มันยังมีเกมอื่นๆ นอกจากการใช้กำลังอีก เช่น ยุบสภาหนี หรือ อภิสิทธิ์ลาออก เพื่อต่ออายุ อำมาตย์ออกไปนะครับ
เขาคงเลือกเล่นเกมพวกนี้มากกว่าการใช้กำลัง
อีกอย่างหนึ่งการต่อต้านของคน กทม. ต่อม็อบเสื้อแดงมีน้อยมาก หรือแทบไม่มีเลย ทั้งๆ ที่สื่อ ปลุกระดมปูทางเต็มที่
มันเป็นไปตาม สมมุติฐานของผมแต่ต้นใน “ระบบการเมืองแบบบขั้ว(Political Polarization)” ประชาชนได้แบ่งขั้วกันเรียบร้อยแล้ว นี่เป็นสงครามระหว่าง คนเสื้อแดงกับอำมาตย์ ไม่ใช่สงครามระหว่างอำมาตย์กับทักษิณ เป็นสงครามระหว่าง ไพร่ กับ นาย
คนเสื้อเหลือง (แม้ไม่ยอมรับว่าเป็นพวกสนธิ แต่สนับสนุนอำมาตย์ ผมก็จัดกลุ่มไว้เป็นพวกเสื้อเหลือง) ที่เป็นมวลชนทั่วไปเกิดเบื่อหน่าย และเกิด"อับอายทางจริยธรรม" เพราะแต่ก่อนพวกตนก็สนับสนุนให้ พธม. ชุมนุมได้ ทำทุกอย่างได้ มันจึงไม่มีความชอบธรรม ที่จะ"โต้แย้ง" กระบวนการเสื้อแดง ได้แต่อย่างใด
นอกจากนี้รัฐบาลอภิสิทธิ์ ก็คงทำให้พวกเขาผิดหวัง
ประชาชนแนวร่วมเสื้อเหลือง คงอยากจบความขัดแย้งนี้เสียที
ปัญหามันอยู่ที่ เจ้ กับ เฮีย (ย่านเยาวราชมั๊ง) ต่างหาก ที่ไม่ยากจบ อยากจะเอาชนะให้ได้ ทั้งๆ ที่บารมีเสื่อมไปแทบหมดสิ้นแล้ว (ผมไม่วิเคราะห์แนวรบอื่นๆ ใต้ดินเช่น นปช.ยูเอสเอ ที่ส่งผลกระเทือนที่ ฐานรากแห่งศรัทธาอย่างรุนแรงนะครับ)
ผมได้ยินข่าวจากบางกระแสมาว่า อาจไม่มีการชุมนุมวันที่ 14 มี.ค. เพราะจะมีการยุบสภาหนีก่อน แต่ผมก็ยังไม่คิดว่าเรื่องมันจะจบ
เพราะ ม็อบได้มาแล้ว กองทัพเสื้อแดงได้เคลื่อนพลลงมาแล้ว คงมีการเรียกร้องอื่น เพื่อสร้างหลักประกันไม่ให้อำมาตย์ซื้อเวลา เช่น ให้เปรมลาออก หรืออย่างอื่นเป็นต้น
หากยุบสภา เลือกตั้งภายใต้อำมาตย์ยังคุมหน่วยงานอิสระ สั่งศาลได้ บ้านเมืองก็ยังวุ่นวายไม่จบครับ สงครามยังไม่จบ เป็นแค่การเลื่อนเวลาการรบออกไปเท่านั้น มันบั่นทอนประเทศครับ
มาแล้ว ก็ต้องรบแหละครับ