ส่งเสริมคนดีให้ได้ปกครองบ้านเมือง

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

Monday, 15 February 2010

จดหมายเปิดผนึก วิพากษ๋ บทบรรณาธิการเสียงอีสาน เรื่อง อย่าทำสังคมนิยมให้เป็นสังคมรังเกียจ

ที่มา ประชาไท


เรียนกองบรรณาธิการเสียงอีสาน http://www.esaanvoice.net
เนื่องด้วยผู้เขียนได้อ่านบทบรรณาธิการเว็บไซต์เสียงอีสาน เรื่องอย่าทำสังคมนิยมให้เป็นสังคมรังเกียจแล้วทำให้เกิดข้อคิดเห็นที่แตกต่างในหลายประเด็น และโดยเบื้องแรกต้องขออนุญาตนำบทความของท่านขึ้นมานำเสนอก่อน
อย่าทำสังคมนิยมให้เป็นสังคมรังเกียจ
การขับรถหรือใช้ยวดยานบนท้องถนนของอีสานในเวลานี้ ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ หาไม่ก็อาจจะเสยเอากลุ่มคนหรือรถขบวนของ “คนเสื้อแดง” ซึ่งใช้คนอีสานเป็นฐานสำคัญได้

การเคลื่อนไหวของพี่น้องคนอีสานในเวลานี้ เข้มข้นขึ้นทั้งในพื้นที่ของอีสานและต่างพื้นที่ นัยว่าเวลา “แตกหัก” ใกล้เข้ามาทุกที วันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ... รออยู่ข้างหน้า

๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ คือ วันอ่านคำพิพากษาคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งหากไม่มีการเลื่อนคดี หรือเป็นไปตามการวิเคราะห์ของหลายฝ่าย สถานการณ์ของประมุขฝ่ายเสื้อแดงน่าจะถึงขั้นโคม่า ดังนั้น ความเคลื่อนไหวของพลพรรคจึงเข้มและข้นเป็นลำดับตามคำชี้นำ เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นว่านั้น

การเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงได้แสดงอาการเจ็บป่วยทางจิตในหลายรูปลักษณ์ ซึ่งขัดแย้งกับพื้นฐานอุปนิสัยของคนอีสาน ไม่ว่าคนอีสานนั้นจะล้าหลังอยู่กับฝ่ายอำนาจรัฐ หรือคนอีสานที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับอำนาจรัฐในห้วงสงครามเย็น สงครามลัทธิ

คนอีสานเป็นคนสุขุมลุ่มลึก โดยเฉพาะคนอีสานที่ศึกษาทฤษฎีทางสังคม แต่คนอีสานของเสื้อแดง ที่พยายามสื่อสารกับสังคมในห้วงระยะการเพาะเชื้อ “ไข้ทักษิณ” กลับเป็นคนมุทะลุดุดัน ไร้เหตุไร้ผล ทำอะไรก็ได้ที่ “เขาสั่ง” ภายใต้หลักสูตรหรือการเรียนการสอนของโรงเรียนการเมืองของเสื้อแดง น่าสังสัยว่า เป็นการ “สอน” หรือการ “เสี้ยม” หรือใส่ยาพิษขนานใดลงไป

และน่าวิเคราะห์ให้ลึกลงไปอีกด้วยว่า บุคลากรที่ทำการสอนนั้น เป็นสังคมนิยมแบบไหนกัน ทำไมเลียนการ “แบ่งแยก” แล้ว “ปกครอง” ของชนชั้นนายทุน หรือใช้ทฤษฎีใดจำแนกคนในสังคมจึงผิดไปจากทฤษฎี แนวทาง หรือเป็นสังคมนิยมได้ถึงเพียงนั้น

แท้จริงแล้ว มันเป็นเพียงการใช้คราบสังคมนิยม เป็นดั่งหนังราชสีห์ห่มคลุมให้แก่ลา แล้วร้องบอกคนอีสานว่า นี่คือ ราชสีห์ นี่คือการต่อสู้ทางชนชั้น แต่แท้จริงเป้าหมายคือทำเพื่อ “ทักษิณ”

แล้ว ฯพณฯ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณนั้น เป็นสังคมนิยมที่ตรงไหน?
หรือหากเป็นเพียงการ “เกาะชายผ้าเหลืองทักษิณ” หรือใช้ทักษิณเป็นเพียงพาหนะเพื่อเกาะยึดไปสู่เป้าหมายแห่งการเปลี่ยนแปลง ของสังคมไทย ซึ่งการกระทำเยี่ยงนี้ เป็นชุดความคิดเดียวกันกับที่คนกลุ่มหนึ่งที่เข้าช่วยงานบริษัทโครงการ เหมืองแร่โพแทชที่อุดรธานี แล้วบอกว่า จะใช้ทุนสู้ทุน เป้าหมายสูงสุด เพื่อเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคมในประเทศไทย แต่แท้จริง มันคือ การทำมาหารับประทาน โดยใช้คราบและเกียรติภูมิของพรรคอย่างผิดๆ เท่านั้นเอง

ถามว่า หากทำได้จริง โดยเสื้อแดงได้รับชัยชนะ ชัยชนะนี้จะเป็นเช่นชัยชนะของพรรคคอมมิวนิสต์จีน พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม หรือพรรคปฏิวัติประชาชนลาวล่ะหรือ?

ความเป็นธรรม ความสง่างาม เกียรติภูมิ แนวทาง หลักยึด คุณค่าแห่งสังคมนิยม ความเป็นธรรม หรือสังคมอุดมธรรม ความรักชาติ รักประชาชนอยู่ที่ตรงไหน ... แล้วจะจัดการอย่างไรกับคนที่ไม่ได้เป็นเสื้อแดงในสังคมไทย

ขนาด พล พต ปฏิวัติยึดกุมอำนาจรัฐในกัมพูชาที่ทำภายใต้ความเชื่อในความเป็นธรรม ความสง่างาม เกียรติภูมิ แนวทาง หลักยึด คุณค่าแห่งสังคมนิยม ความรักชาติ รักประชาชน ยัง “ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” ในเวลาได้ชัยชนะ แล้วหากเสื้อแดงที่มีพื้นฐานแบ่งแยกประชาชน นำคนไปในทิศทางที่ผิด ผิดทั้งทฤษฎีและผิดทั้งทำนองคลองธรรมของสังคมไทย ก็ก่อม็อบขึ้นชนม็อบ ทำร้ายทำลายประชาชนที่ชุมนุมต่อต้านรัฐบาลทั้งในส่วนกลางและหนองประจักษ์ และการออกมาสนับสนุนเจ้าหน้าที่ที่เข่นฆ่าประชาชนที่หน้ารัฐสภา เพียงเพราะคนเหล่านั้นเป็น “เสื้อเหลือง” ที่ต่อต้านทักษิณ แล้วเสื้อแดงจะไม่ยิ่งกว่าพล พต ล่ะหรือ?

แล้ววันนั้น... เราจะอยู่ร่วมสังคมนี้กันอย่างไร?

ต้องออกตัวสักเล็กน้อยว่าผู้เขียนอาจจะไม่ได้แตกตื่นหรือชื่นชมทั้งในประเด็นหรือเทคนิคการเขียนใดๆในงานเขียนชิ้นนี้หากว่าบทความชิ้นนี้ถูกเผยแพร่ในฐานะบทบรรณาธิการของสื่อกระแสหลักรายวัน แต่สิ่งที่ผู้เขียนรู้สึกว่าเป็นประเด็นที่จำเป็นต้องแลกเปลี่ยนก็คือ บทความชิ้นนี้ออกในนามบทบรรณาธิการของเว็บไซต์เสียงอีสาน ซึ่งถือว่าเป็นกระบอกเสียงทางอินเตอร์เน็ตเพียงหนึ่งเดียวของคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชนเพื่อการพัฒนาชนบทภาคอีสาน ( กป.อพช.อีสาน )
ผู้เขียนคิดว่าเป็นเรื่องป่วยการไปแล้วที่จะถกถึงท่าทีจุดยืนทางการเมืองของNGOsอีสานว่าควรจะยืนอยู่ในจุดไหน แต่ความกังขาที่ยังคงวนเวียนอยู่ในศีรษะของผู้เขียนก็คือ อะไรเหตุผลที่ทำให้ผู้ที่มักจะกล่าวอ้างว่าตนเองเป็นผู้ที่สละตัวเพื่อคนยากคนจน ผู้ที่ประกาศว่าจะให้อำนาจตกอยู่ในมือของประชาชนแต่กลับปฏิบัติในทางตรงกันข้ามกับสิ่งที่ตนเฝ้าพร่ำบอก...
เมื่อได้อ่านบทความชิ้นนี้จึงทำให้ผู้เขียนได้ข้อสรุปที่แจ่มชัดขึ้นถึงทัศนะของพวกท่านที่มีต่อคนยากจนคนอีสาน ผู้เขียนขอตั้งคำถามว่า...ความเดือดร้อนต่อผู้สัญจรไปมาบนท้องถนนะ อันเนื่องมาจากกิจกรรมทางการเมืองของคนเสื้อแดงอีสานตามที่พวกท่านเขียนในบทความมันแตกต่างอย่างไรกับความเดือดร้อนต่อผู้สัญจรไปมาจากการเคลื่อนไหวบนท้องถนนของภาคประชาชนในการกำกับของพวกท่าน (NGO)
คนอีสานที่มีความคิดเห็นทางการเมืองแตกต่างไปจากแนวคิดทางการเมืองของพวกท่านพอจะมีโอกาสได้รับเกียรติให้เรียกขานเป็นภาคประชาชนหรือไม่...??? การเคลื่อนไหวของพวกเขาพอที่จะได้รับการยอมรับหรืออย่างน้อยก็น่าจะไม่ใช้ภาษาในลักษณะหมิ่นแคลนพาดพิงถึงใช่หรือไม่..???
การที่พวกท่านอ้างตัวเสมอว่าเป็นผู้ที่ทุ่มเททำงานเกาะติดพื้นที่ เกาะติดประชาชนผู้ยากไร้ในอีสานมาอย่างยาวนาน สิ่งที่พวกท่านน่าจะทำได้มากกว่านี้ก็คือการศึกษาและพยายามอธิบายต่อสังคมภายนอกให้ได้ถึงปัจจัยต่างๆที่ก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวของขบวนคนเสื้อแดงอีสานขึ้น แต่ในทางกลับกันคำพูดที่พวกท่านใช้อธิบายคนเสื้อแดงในอีสานผ่านบทความนี้คือ ”การเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงได้แสดงอาการเจ็บป่วยทางจิตในหลายรูปลักษณ์ ซึ่งขัดแย้งกับพื้นฐานอุปนิสัยของคนอีสาน” หรือ“ คนอีสานของเสื้อแดง ที่พยายามสื่อสารกับสังคมในห้วงระยะการเพาะเชื้อ “ไข้ทักษิณ” กลับเป็นคนมุทะลุดุดัน ไร้เหตุไร้ผล ทำอะไรก็ได้ที่ “เขาสั่ง”
นี่หรือคือทัศนะของผู้ที่อุปโลกน์ตัวเอง ว่าเป็นคนที่ทำงานพัฒนาเข้าถึงคนอีสานมากกว่าใคร ...??? เคารพในภูมิปัญญาของคนอีสานมากกว่าใคร...???ยืนยันในสิทธิและเสรีภาพของคนอีสานมากกว่าใคร...???

การทำงานบุกเบิกในยุคแรกของ NGOsอีสาน นอกจากสายตาหวาดระแวงของชาวบ้านที่มีต่อพวกท่านแล้วยังมีสายตาที่ไม่เป็นมิตรของผู้มีอิทธิพลทั้งในและนอกเครื่องแบบในพื้นที่ การถูกป้ายสีว่าเป็นขบวนการสังคมนิยมหรือเป็นคอมมิวนิสต์เป็นสิ่งที่พวกท่าน NGOs ผู้สูงศักดิ์ในปัจจุบันไม่ปรารถนาที่จะเผชิญ แต่น่าขันพวกท่านกลับพยายามเสียเหลือเกินที่จะเชื่อมโยงคนเสื้อแดงอีสานเข้าสู่คำว่า”สังคมนิยมหรือคอมมิวนิสต์” และที่ชวนให้เกิดอารมณ์ขันอย่างเจ็บปวดใกล้เคียงกันก็คือ แม้แต่ในปัจจุบัน พวกท่าน ก็ยังแสดงความเจ็บปวดที่ถูกกล่าวหาว่า”รับเงินต่างชาติ”แต่ในขณะเดียวกันพวกท่านก็ได้กล่าวหาว่าคนอีสานว่ารับหรือสู้เพื่อ”เงินของทักษิณ”
พวกท่านมักจะวิพากษ์วิจารณ์ความเข้าใจของ คนชั้นกลาง ข้าราชการ ที่มีต่อคนจนในชนบทว่ามีลักษณะฉาบฉวยตื้นเขิน แต่เมื่อมองจากบทความชิ้นนี้แล้ว เราจะเห็นได้ว่าถึงที่สุดแล้ว ทัศนะคติของท่านที่มีต่อคนยากคนจนก็ไม่ได้ต่างจากกลุ่มคนที่พวกท่านวิพากษ์วิจารณ์แต่อย่างไร
หากจะมีอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ท่านมีความต่างจากคนชั้นกลางกลุ่มอื่นๆนั่นก็คือ เกียรติและอภิสิทธิ์ต่างๆ รวมถึงค่าครองชีพที่ท่านได้รับล้วนต้องได้อาศัยคำว่า"คนจน คนอีสาน" ประดับอยู่บนเรียวปากและบนหน้ากระดาษขาวที่มีตัวอักษรขึ้นต้นสะกดออกเสียงเป็นคำว่า”โครงการ”