ส่งเสริมคนดีให้ได้ปกครองบ้านเมือง

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

Tuesday, 10 November 2009

ใครสั่งสอนใคร?

ที่มา ข่าวสด

เหล็กใน




สังคมไทยกำลังมีความเห็นแตกต่างกันว่า

สมน้ำสมเนื้อดีแล้ว หรือว่ารุนแรงเกินไป

ต่อกรณีรัฐบาลไทยออกมาตรการลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตกับกัมพูชา

ดาบแรก เรียกตัวทูตไทยกลับประเทศ

ดาบสอง บอกเลิกบันทึกความเข้าใจหรือเอ็มโอยู ว่าด้วยพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล ที่ 2 ประเทศทำไว้ในสมัยรัฐบาลทักษิณ เมื่อปี 2544

เพื่อเป็นการตอบโต้รัฐบาลนายฮุนเซนที่กระทำการหยามหมิ่นรัฐบาลไทย

ด้วยการออกพระราชกฤษฎีกาแต่งตั้ง พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร เป็นที่ปรึกษารัฐบาลกัมพูชาและที่ปรึกษาส่วนตัวอย่างเป็นทางการ

ส่วนจะมีดาบสาม-สี่-ห้า ตามมาอีกหรือไม่

เป็นเรื่องต้องติดตามกันต่อไป

แต่การที่โพลบางสำนักเผยผลสำรวจว่ารัฐบาลไทยได้รับเสียงสนับสนุนเพิ่มมากขึ้นถึง 3 เท่าตัว

อันเป็นผลสืบเนื่องจากความหมั่นไส้นายกฯ ฮุนเซน

ที่ทำตัว "กวนโอ๊ย" รัฐบาลไทยมาพักใหญ่

ก็ยิ่งน่าห่วงว่าผลสำรวจดังกล่าวจะเป็นตัวส่งเสริมให้รัฐบาลออกมาตรการหนักหน่วงกว่านี้

เพราะเชื่อว่ายิ่งโต้แรงยิ่งได้คะแนนเพิ่ม

เป็นความจริงที่นายฮุนเซน ทำผิดพลาดอย่างร้ายแรงที่ตั้งพ.ต.ท.ทักษิณเป็นที่ปรึกษา

และยังกล่าวโจมตีกระบวนการยุติธรรมของไทยเสียๆ หายๆ

จึงสมควรได้รับการตอบโต้อย่างสาสม

อย่างไรก็ตาม การที่รัฐบาลไทยจะหยุดมาตรการ "สั่งสอนฮุนเซน" ไว้แค่นี้

หรือจะยกระดับความรุนแรงมากขึ้นไป

จำเป็นต้องตรึกตรองให้ลึกซึ้ง รอบคอบและรอบด้าน

ที่สำคัญต้องยึดโยงอยู่กับผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นด้านหลัก

หลายคนในซีกรัฐบาลวิเคราะห์ออกมาเป็นฉากๆ

ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นคือการตอบแทนบุญคุณของนายฮุนเซน ต่อพ.ต.ท.ทักษิณ

เนื่องจากอดีตรัฐบาลพรรคไทยรักไทยเคยช่วยเหลือนายฮุนเซนไว้มากในช่วงเลือกตั้งของกัมพูชา

ซึ่งน่าจะมีส่วนจริงอยู่มาก

ส่วนคำถามที่ว่าจะเกี่ยวโยงไปถึงกรณีรัฐบาลนายอภิสิทธิ์

เคยไม่เห็นนายฮุนเซนอยู่ในสายตา

จึงแต่งตั้ง นายกษิต ภิรมย์ ที่ขึ้นเวทีกลุ่มพันธมิตรฯ ด่าผู้นำกัมพูชาเป็น "กุ๊ย" "บ้าๆ บอๆ" "เฮงซวย" มาเป็นรมว.การต่างประเทศ ด้วยหรือไม่

รัฐบาลไทยควรเตรียมหาคำตอบเรื่องนี้ไว้ให้ดีๆ

ว่ากรณี "ทักษิณ" กับ "กษิต"

เหมือนหรือต่างกันอย่างไร