ที่มา ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
8 กันยายน 2552
แล้วที่สุด ป.ป.ช. มีมติฟันอาญา"สมชาย-จิ๋ว-พัชรวาท-สุชาติ" คดี สลายม็อบ7ตุลาฯ ประชาชาติออนไลน์ เปิดบันทึกนักข่าวที่อยู่ในเหตุการณ์ พบความจริงอีกด้านที่ไม่ค่อยมีคนกล้าพูด นั่นคือ ความจริงที่ว่า ความรุนแรง อาจไม่ได้มาจากตำรวจฝ่ายเดียว แต่ ม็อบเอง ก็ใช้ความรุนแรง เกินกว่าจะเรียกว่า สันติวิธี
.... 7 กันยายน ภายหลังการประชุม คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในสำนวนการไต่สวนคดีการสลายผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 จนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก
นายวิชา มหาคุณ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมป.ป.ช. มีมติให้ชี้มูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กับนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี และพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้สั่งการให้สลายการชุมนุม
นอกจากนั้น ยังมีมติให้ชี้มูลความผิดทางอาญา และวินัยร้ายแรงในฐานความผิดเดียว กับพล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และพล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ในฐานะผู้บัญชาตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ซึ่งเป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ แต่กลับไม่มีการสั่งให้หยุดการสลายการชุมนุม ทั้งที่มีผู้บาดเจ็บและชีวิตในช่วงเช้า
ขณะที่ ผู้ถูกกล่าวหาอีก 5 คน ระดับรองผบ.ตร. และรองผบช.น. คณะกรรมการฯ เห็นว่าไม่มีความผิด เนื่องจากเป็นผู้ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา
@ บันทึก เหยี่ยวข่าว 7 ตุลา ความจริงอีกด้าน ?
ในการเผชิญหน้ากันครั้งนี้ ฝ่ายพันธมิตรได้ใช้อาวุธที่อันตราย และถ้าตำรวจไม่ใช้แก๊สน้ำตา สถานการณ์ก็อาจย่ำแย่จนนำไปสู่การปะทะตัวต่อตัวระหว่างตำรวจกับผู้ชุมนุม และหากเป็นเช่นนั้น ผมมั่นใจว่าจะทำให้สูญเสียชีวิตแก่ทั้งสองฝ่ายมากขึ้น ฝ่ายพันธมิตรมีปืนสั้นจำนวนหนึ่ง ตำรวจหนึ่งหรือสองนายถูกแทงด้วยปลายเสาธง ฉะนั้น เราไม่อยากจะจินตนาการหรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากแก๊สน้ำตาไม่ได้ช่วยสร้างระยะห่างระหว่างทั้งสองฝ่ายไว้ ผมไม่อยากคิดว่าตำรวจตั้งใจทำให้ใครบาดเจ็บ แต่ในช่วงเวลานั้น เป็นช่วงเวลาที่มีทางเลือกน้อยมาก-Nick Nostitz ผู้สื่อข่าวต่างประเทศที่อยู่ในเหตุการณ์ 7 ตุลาคม จากเช้าจนค่ำ
ประชาชาติออนไลน์ เปิดบันทึก เหยี่ยวข่าว ในเหตุการณ์ 7 ตุลาคม ที่อาจเป็นความจริงอีกด้านที่ถูกละเลยมาตลอดระยะเวลาาเกือบ 1 ปีที่ผ่านมา
จากบันทึก 7 ตุลาคม นักข่าวและช่างภาพ ไทยรัฐ บันทึกว่า ...
สมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ปีนรั้วหนีออกจากรัฐสภา ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ตำรวจเดินทางไปยังกองบัญชาการกองทัพไทย เป็นหนึ่งในบรรยากาศสำคัญวันสลายม็อบรัฐสภา...วันที่ 7 ตุลาคม 2551
"เกือบบ่าย ... หลังแถลงนโยบายรัฐบาลเรียบร้อยแล้ว คนข้างในต่างคนก็อยากจะออก แต่ม็อบปิดล้อมไว้ทุกด้าน
กิตติ วงษ์ใบแก้ว หรือ เจี๊ยบ ช่างภาพการเมือง นสพ.ไทยรัฐ บอกรัฐมนตรี ส.ส. มานั่งรวมกันที่บ่อปลาคาร์ฟด้านหน้า จะอยู่ข้างในอาคารก็ไม่ได้ สภาฯโดนตัดไฟ เครื่องปรับอากาศใช้ไม่ได้ รถก็เตรียมรอ...จะออก ประตูแน่นไปหมด
เจี๊ยบประเมิน รวมๆ กับส.ว.ผู้ติดตาม เจ้าหน้าที่ ช่างภาพ..นักข่าวอีกนับร้อยชีวิต ในสภาฯน่าจะมีคนติดอยู่เป็นพันคน
เจ้าหน้าที่ส่งข่าวมาจากด้านนอก บ่ายสามโมง จะเคลียร์...เปิดทางให้ ใกล้เวลาเตรียมขึ้นรถ แต่ก็ยังไม่มีใครได้ออกไปไหน
"การรอคอยผ่านไป 3 ชั่วโมง รัฐมนตรีเริ่มถอดสูทเพราะอึดอัด บางคนเริ่มหาทางอื่น มุ่งหน้าไปทางกำแพงรัฐสภาด้านหลัง ติดกับพระที่นั่งวิมานเมฆ"
จุดนี้...เป็นเส้นทางเดียวกับที่นายกรัฐมนตรี เดินทางออกจากรัฐสภา
"เจ้าหน้าที่ฝั่งวังเห็น ก็พยายามห้าม บอกว่า...อย่าลงมากันเยอะ เพราะพันธมิตรฯบอกว่า พวกผมปล่อยให้นายกฯออกไปได้ยังไง"
เสียงทัดทานจากเจ้าหน้าที่ ไม่ทำให้รัฐมนตรีหยุดปีนรั้ว ที่เห็นๆ ก็จะมี รัฐมนตรีประจำสำนักนายก รัฐมนตรีวัฒนธรรม รัฐมนตรีกีฬา ท่านบรรหารฯ และที่เก็บภาพได้...รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ
"ภาพปีนรั้วทุลักทุเลมาก ผู้หญิงนุ่งกระโปรงยิ่งปีนลำบาก... จุดที่ปีนไม่ใช่ง่าย ต้องข้ามไปอีกตึกนึงถึงจะปีนลงข้าวรั้ว ตรงกำแพง...ต้องหันหน้าเข้า ค่อยๆปีนลงไป ไม่อย่างนั้นด้วยความสูงขนาดนี้ อาจเสียหลักพลัดตกได้"
บางคนพิการ ต้องใช้หลายคนช่วยกันอุ้มพยุงส่ง...รับข้ามกำแพง ถ้าไม่กลัวตายจริงๆ ไม่น่าจะทำได้ รั้วสูงเกือบ 3 เมตร มีเหล็กแหลมอยู่ด้านบน โชคดีที่ไม่มีใครได้รับอันตราย
ไล่หลังนักการเมือง ก็มีข้าราชการ นักข่าวจะตามติดไปด้วย แต่ก็ถูกห้ามว่า "พอแล้วๆ ไปตอนนี้ก็ยังไม่ได้ออกไปไหน เพราะถนนด้านที่จะออกได้ ยังถูกปิดล้อมด้วยม็อบ"
เจี๊ยบจับภาพบรรยากาศชุลมุนหลังรัฐสภา ขณะที่ช่างภาพอีกไม่น้อยเก็บภาพสลายม็อบอยู่ด้านหน้า...เวลาล่วงเลยไปถึงบ่ายสี่โมงกว่า ทุกคนในรัฐสภาได้ยินเสียงระเบิดแก๊สน้ำตาดังอีกครั้งเป็นระลอก...
การสลายม็อบมีหลายช่วง แต่ช่วงนี้คือรอบสุดท้าย บรรยากาศค่อนข้างน่ากลัว
"ก่อนที่จะมีการสลายม็อบรอบนี้ ตำรวจเจรจาขอให้เจ้าหน้าที่ สื่อมวลชน ส.ส. รัฐมนตรี ออกไปจากรัฐสภา แต่ผู้ชุมนุมไม่ยอม เมื่อไม่ยอม... เจ้าหน้าที่ตั้งแนวถอยได้ 50 เมตร ก็เริ่มสลายม็อบทันที"
เสียงแก๊สน้ำตาถูกยิงไล่มาตั้งแต่ถนนข้างวัง ด้านที่มุ่งหน้าไปสะพานซังฮี้ กลุ่มผู้ชุมนุมถอยร่นมารวมตัวกันตรงเขาดิน ประตูรัฐสภาด้านถนนราชวิถีเริ่มเปิดได้
"รถที่อออยู่ด้านใน ทยอยออกไปได้บ้าง แต่กว่า...จะเคลื่อนไปได้ ต้องใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมง" เจี๊ยบ ว่า "รถผมอยู่คันที่สี่ จะออกพ้นประตูอยู่แล้ว ม็อบก็ตีโต้เจ้าหน้าที่ รุกต้านกลับมา..."
ราวห้าโมงกว่า คราวนี้มีเสียงปืนดังรัว ปัง...ปัง...ปัง ดังแน่นๆ ไม่เหมือนเสียงยิงแก๊สน้ำตา ภาพที่เห็น...ช่างภาพทั้งทีวี หนังสือพิมพ์ วิ่งถอยเข้ามาในรั้วรัฐสภา ตำรวจที่ถือโล่อยู่ด้านหน้า ก็ยังวิ่งหนี...
"เพื่อนช่างภาพเล่าให้ฟังว่า เห็นตำรวจถูกยิงที่คอ แต่ก็เก็บภาพไม่ได้ว่าใครยิง...เพราะวุ่นวายไปหมด"
ทิศทางกระสุนที่ยิงตำรวจมาจากฝั่งม็อบ ภาพข่าวที่เห็นทางทีวีช่องหนึ่งจับภาพผู้ประท้วงคนหนึ่ง วิ่งไปด้วย ยิงปืนไปด้วย...หันปากกระบอกปืนมาทางเจ้าหน้าที่
ในฐานะสื่อมวลชน ช่วงชุลมุนแบบนี้ช่างภาพต้องเก็บภาพ ชิดติดสถานการณ์ขนาดไหน?
"ช่วงที่ฝ่ายม็อบยิงหนังสติ๊ก...ลูกเหล็ก ลูกแก้ว ฝ่ายตำรวจยิงแก๊สน้ำตา ช่างภาพยังหลบใต้ต้นไม้สองฝั่งถนน เก็บภาพอยู่ตรงกลางระหว่างสองฝ่ายได้"
พอมีเสียงปืน แน่ชัดว่ามีตำรวจโดนยิง... ห่างช่างภาพไม่เกิน 2 ช่วงตัว ทุกคนก็หลบหมด
"เข้ามาตั้งหลักอยู่ในรัฐสภา ยังมีลูกหิน ลูกเหล็กกลมๆ ถูกระดมยิงตามมาเป็นระลอก โดนขาช่างภาพไทยรัฐอีกคน แต่ไม่เป็นอะไรมาก"
สถานการณ์เริ่มนิ่งอีกครั้ง ช่างภาพนิ่งกำลังเอาคอมพิวเตอร์มานั่งส่งภาพเข้าโรงพิมพ์ แต่มีเสียงตะโกนว่า "ม็อบ...บุกทะลักเข้ามาในสภาฯแล้ว"
"นักข่าวผู้จัดการเองก็พยักหน้า ทำนองว่า...อยู่ไม่ได้แล้ว แต่ละคนยิ่งรีบเก็บข้าวของ ปีนออกทางรั้วด้านหลัง...ทางเดียวกับนายกรัฐมนตรี"
เจี๊ยบ บอกว่า ชุดนี้ถือเป็นชุดสุดท้ายที่ออกจากรัฐสภา เกือบร้อยคนเป็นสื่อมวลชนทั้งนั้น...คราวนี้ เจ้าหน้าที่ริมรั้วอีกฝั่งมีท่าทีดี ไม่ได้ห้าม
"ช่างภาพปีนลำบากกว่าเพื่อน ทั้งกล้อง เลนส์ คอมพิวเตอร์ห้อยเต็มตัว จะป่ายจะปีนไม่ใช่เรื่องง่าย...รถนักข่าวที่จอดอยู่ในสภาฯ ถึงจะเป็นห่วงแค่ไหน ก็ต้องจำใจทิ้ง...นาทีนี้ มัวห่วงรถไม่ได้ ต้องเอาชีวิตไว้ก่อน"
สถานการณ์เริ่มพลิกกลับ ม็อบกลับมาล้อมรัฐสภาได้อีกครั้งหนึ่ง ตำรวจถอยร่นราว 10 นาที ...ตำรวจอีกชุดก็เริ่มบุกเข้ามาสลายอีกรอบ
"เจ้าหน้าที่บอกว่า จะเข้าเคลียร์พื้นที่...สุดท้ายแล้ว"
ข้ามรั้วรัฐสภามาได้อย่างปลอดภัยกันทุกคน เจ้าหน้าที่วังบอกว่าให้ไปรอก่อน ตอนนี้ยังไม่ปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ กว่าจะออกนอกพื้นที่ได้ก็กินเวลา 1 ทุ่มกว่า
เวลา 20.00 น. เจี๊ยบส่งรูปเข้าโรงพิมพ์แล้ว...เดินกลับมาที่รัฐสภามีทหารตรึงกำลังเรียบร้อย ม็อบพันธมิตรฯ ก็กลับไปตั้งมั่นที่ทำเนียบรัฐบาล
ร่องรอยความรุนแรงที่เกิดขึ้นในช่วง 7 ชั่วโมงที่ผ่านมา... เจี๊ยบไม่เห็นเลือด มีแต่ขวดน้ำเยอะมากๆ เอารถสิบล้อ 5 คัน มาขนก็ขนไม่หมด รถที่เสียหายส่วนใหญ่ เป็นรถตำรวจโดนทุบกระจกพังยับ โดนปล่อยลมยางสี่ล้อ
"หมอกควันแก๊สน้ำตายังไม่จาง แต่ละคนเดินร้องไห้กันตลอดทาง"
เหตุตำรวจสลายม็อบหน้ารัฐสภา ผ่านมาถึงวันนี้ ทั้งช่างภาพ นักข่าว เจอหน้ากันก็ยังคุยถึงเรื่องวันนั้น... "ไม่มีใครคิดว่าจะเกิดเหตุรุนแรงขนาดนี้ เห็นภาพข่าวทางทีวี หนังสือพิมพ์...ก็ยิ่งรู้สึกกลัว"
หลายคนพูดให้ฟัง แก๊สน้ำตารู้ชัดเจนว่า...ยิงจากฝั่งตำรวจ แต่เสียงปืนที่ยิง ปังๆ ๆ ไม่รู้ว่าใครยิง ตั้งใจยิงเพื่ออะไร
"กลุ่มผู้ชุมนุมถูกสลายการชุมนุม อยู่ในอารมณ์คุกรุ่นอยู่แล้ว...อาจจะมีมือที่สาม ตั้งใจสวมรอยสร้างความรุนแรงให้เกิดความแตกแยกมากขึ้นไปอีก"
ประเด็นที่พูดคุยกันมาก...กลุ่มผู้ชุมนุมที่ขาขาด หลายคนเชื่อว่าแก๊สน้ำตายังไงก็ไม่รุนแรง ทำให้ขาขาดได้... ช่างภาพที่อยู่ในเหตุการณ์ตั้งข้อสงสัยถึงเหตุปะทะหน้ากองบัญชาการตำรวจนครบาล ช่วงกลางดึก มีผู้ได้รับบาดเจ็บขาขาด 3 คน
"บริเวณที่ขาด...มองแล้วใกล้เคียงกัน น่าจะได้รับผลมาจากแรงระเบิดในระยะใกล้ตัวมากๆ เพราะถ้าเกิดจากระเบิดที่
เขวี้ยงมา ผู้ที่ยืนอยู่ใกล้รัศมีแรงระเบิด น่าจะได้รับบาดเจ็บไปด้วย"
แม้แต่...รูปถ่ายผู้บาดเจ็บในเหตุการณ์ที่นำมาเผยแพร่ทั้งจากฝ่ายตำรวจ ฝ่ายม็อบ ถกเถียงกันว่าเป็นรูปจริง...รูปตกแต่ง ความจริงก็คือความจริง...อย่างไร ก็พิสูจน์ได้ว่า เกิดจากอะไร? เกิดจากใคร?
เจี๊ยบ ทิ้งท้ายว่า
"สิ่งหนึ่งที่สะท้อนให้เห็น...ท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้ง สื่อ...ทำหน้าที่อยู่ตรงกลาง หากปะทะกันอันตรายถึงชีวิต สื่อก็รักชีวิตไม่ต่างกับรัฐมนตรี... นายกรัฐมนตรี
@ บันทึกจากผู้สื่อข่าวต่างประเทศ
Nick Nostitz แห่งเว็บไซต์ New Mandala บันทึก เหตุการณ์ที่เกิดอะไรขึ้นเมื่อวันที่ 7 ตุลา 2551 ดังนี้
ในเกมแห่งม่านหมอกและกระจกเงา ทั้งสองฝ่ายต่างพยายามสร้างภาพ เพื่อบอกกับสังคมว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551
ในบทความชิ้นนี้ ผมจะพยายามบรรยายสิ่งที่ผมเห็นและความรู้สึกต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ผมไม่ได้อ้างว่าผมเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด ผมอยู่ที่นั่นระหว่างตีห้าถึงห้าทุ่มเท่านั้น โดยได้ปลีกตัวออกมาชั่วคราวในช่วงเที่ยงและช่วงระหว่าง 13.00-16.00 เพื่อส่งรูปถ่ายไปยังสำนักงานและหลับตาไปอีกราว 30 นาที ฉะนั้น ผมจึงไม่สามารถอยู่ในทุกที่ในช่วงเวลาเดียวกันได้ และเป็นไปไม่ได้ที่จะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในพื้นที่ที่ห่างออกไป แม้เพียง 100 เมตรก็ตาม
การโจมตีโดยตำรวจเริ่มประมาณ 6.00 น. ในขณะนั้นผมอยู่ในพื้นที่ที่ฝ่ายพธม.ยึดครองไว้ ทันทีที่ผมเห็นตำรวจตั้งแถวเพื่อเตรียมโจมตี ผมรีบออกจากจุดนั้นเพื่อไปอยู่ตรงด้านหน้าของแถวตำรวจแทน ผมรู้สึกปลอดภัยขึ้นเพราะผมรู้ว่าหากตำรวจต้องการสลายการชุมนุม จะตัองมีการใช้กำลังอย่างหนัก
ตำรวจได้ใช้รถบรรทุกที่ติดเครื่องขยายเสียงประกาศเตือนให้ผู้ชุมนุมสลายตัวเพราะกำลังจะถูกโจมตี และจะมีการยิงแก๊สน้ำตา ตำรวจได้ประกาศเตือนอย่างต่อเนื่อง และยังกล่าวว่า ในความขัดแย้งครั้งนี้ ยากที่จะมีใครเป็นผู้ชนะ พวกเราเป็นคนไทยด้วยกันทั้งนั้น จึงไม่ควรมาสู้กันเอง
ผู้ชุมนุมไม่ยอมสลายตัว และหลังจากนั้นไม่นาน การโจมตีก็เริ่มขึ้นด้วยการระดมยิงแก๊สน้ำตา
มันเริ่มจากทั้งด้านถนนราชวิถีและถนนพิชัย (ผมอยู่ที่นี่) ผมเห็นลูกระเบิดแก๊สน้ำตาระเบิดขึ้นอย่างรุนแรงเมื่อมันปะทะเข้ากับแนวกั้นยางรถยนต์ ยางบางเส้นถึงขนาดกระเด็นสูงจากพื้น 2-3 ฟุต ผู้ชุมนุมต่างพากันวิ่งหนีโดยเร็ว ผมเดินตามหลังตำรวจที่อยู่แถวหน้า มีการต่อสู้ระหว่างตำรวจและผู้ชุมนุมเล็กน้อย แต่ไม่มีอะไรรุนแรงมากนัก มีการโยนลูกระเบิดแก๊สน้ำตาโดยตำรวจเล็กน้อย (ผมเดาเช่นนั้น ผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเรื่องนี้) และ
ผู้ชุมนุมฝ่ายพันธมิตรที่เหลืออยู่ไม่กี่คนก็ได้โยนวัตถุระเบิดเข้าใส่ตำรวจเช่นกัน มันอาจเป็นปะทัด หรือระเบิดปิงปองก็ได้ ในช่วงเวลาที่เร่งร้อนและเต็มไปด้วยหมอกควันนี้ เป็นการยากที่จะเห็นว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นแน่ ควันจากแก๊สน้ำตาทำให้คนตาพร่าไปหมด
นอกจากนี้ มีตำรวจไม่กี่คนที่มีหน้ากากป้องกันแก๊สน้ำตา พวกเขาจึงพลอยได้รับผลกระทบไปด้วย ตลอดช่วงเวลานี้ ตำรวจได้ป่าวประกาศผ่านเครื่องขยายเสียงขอให้ผู้ชุมนุมหยุดการต่อสู้ และทันทีที่ผู้ชุมนุมหยุด และนั่งลงที่ถนน ตำรวจก็สามารถบรรลุเป้าหมาย คือเปิดประตูรัฐสภาได้สำเร็จ
ถึงตอนนี้ผมจึงได้เห็นว่ามีชุมนุมได้รับบาดเจ็บสาหัส ชายคนหนึ่งนั่งอยู่พื้นโดยขาข้างซ้ายถูกระเบิดขาดตั้งแต่หัวเข่าลงไป มีผิวหนังสองสามเส้นเชื่อมขาที่ตกอยู่ข้าง ๆ เขาถูกห้อมล้อมโดยตำรวจที่ก็ตกใจกับสภาพที่เห็นเช่นกัน ตำรวจบางคนพยายามปลอบเขา ยังมีผู้ชุมนุมที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสอีก 2-3 คนในบริเวณนั้น
ไม่นานหลังจากนั้น รถพยาบาลได้นำชายคนนั้นและผู้บาดเจ็บคนอื่นขึ้นรถไป ภายในรัฐสภามีนักข่าววิทยุได้รับบาดเจ็บที่หลัง ผิวบางส่วนเปิดออก เลือดไหลและไหม้อย่างรุนแรง ตำรวจ ตชด.นายหนึ่งเข้าไปปลอบขวัญเขา
เมื่อสถานการณ์สงบลง ผมได้คุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจถึงเรื่องคนบาดเจ็บ พวกเขาล้วนตกใจกันทั้งนั้น หน่วยยิงแก๊สน้ำตาอธิบายว่า ภายใต้สถานการณ์บางอย่าง การยิงแก๊สน้ำตาอาจก่อเกิดให้เกิดแรงระเบิดที่สูงได้ ตัวอย่างเช่น เมื่อเกิดขึ้นในเวลาที่คนอยู่ด้วยกันอย่างหนาแน่น
ผมใช้เวลาอยู่ในบริเวณนั้นอีกพักหนึ่ง นั่งอยู่ภายในตึกรัฐสภา แล้วก็เดินไปที่แยกถนนราชวิถี-สามเสน อันเป็นบริเวณที่ผู้ชุมนุมพันธมิตรกำลังรวมตัวกันอยู่
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ประมาณ 10.00 น. ผมเดินไป กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บชน.) ตรงหัวมุมลานพระบรมรูปทรงม้า ทันทีที่ไปถึง
ฝ่ายพันธมิตรก็เริ่มการโจมตี พวกเขาโยนระเบิดปิงปอง (หรืออาจเป็นลูกระเบิดแก๊สน้ำตา) เข้าไปยังพื้นที่ของบชน. และเข้าใส่ตำรวจ พวกเขาใช้หนังสติ๊กระดมยิงลูกเหล็กและลูกแก้วเข้าใส่ตำรวจ ช่วงขณะหนึ่งผมได้ยินเสียงระเบิด ซึ่งผมเชื่อว่าเป็นเสียงกระสุนปืนที่ยิงผ่านไปอยู่รอบตัวผม (เสียงของลูกกระสุนปืนที่พุ่งผ่านไปต่างกับเสียงของลูกกระสุนที่ยิงโดยหนังสติ๊กอย่างชัดเจน) ผมซ่อนอยู่ข้างหลังรถคันหนึ่ง และขณะที่กำลังโทรศัพท์โทรหาเพื่อนนักข่าวที่ชื่อ นิรมาล กอช จาก the Straits Times ผมก็ถูกยิงด้วยลูกเหล็กเข้าที่ท้อง
หลังจากสงบสติอารมณ์สักพักหนึ่ง ผมก็ตามตำรวจที่ล่าถอยเข้าไปในพื้นที่ของ บชน. หลังจากสถานการณ์ก็สงบลงชั่วคราว ผมจึงกลับบ้านเพื่อจัดการส่งภาพถ่ายให้สำนักงาน เมื่อถึงตอนนี้ ตำรวจได้ถอนกำลังออกจากพื้นที่รอบ ๆ รัฐสภา ให้กับพวกพันธมิตรไป
ผมได้รับโทรศัพท์ในช่วงบ่ายว่าเกิดการปะทะกันอีกครั้งเมื่อตำรวจต้องเปิดประตูรัฐสภาด้านถนนราชวิถีอีกครั้ง ผมมาจากทางถนนร่วมจิตแล้วก็ต้องติดอยู่กับด้านผู้ชุมนุมที่กำลังถูกตำรวจระดมยิงแก๊สน้ำตาเข้าใส่ โดยตำรวจพยายามตอบโต้การโจมตีของฝ่ายพันธมิตร ระเบิดแก๊สน้ำตาลูกหนึ่งตกลงมาห่างจากผมราวหนึ่งเมตรตอนที่ผมกำลังวิ่งอยู่ มันส่งเสียงระเบิดกึกก้องทีเดียว
ผมวิ่งมาถึงเส้นที่จะข้ามไปยังพื้นที่ที่ตำรวจยึดครองอยู่ (ตำรวจยิงระเบิดแก๊สน้ำตาลูกหนึ่งใส่ผมเพราะเข้าใจผิดว่าผมเป็นผู้ชุมนุม แต่ก็หยุดหลังจากที่ผมตะโกนซ้ำ ๆ กันว่าผมเป็นผู้สื่อข่าว และยกกล้องให้ดู)
ผมอยู่ตรงหัวผมถนนนั้นจนตกดึก ตำรวจต้องป้องกันหัวมุมถนนด้านนี้ไว้เพื่อให้ข้าราชการ ลูกจ้าง และสส.สามารถออกจากรัฐสภาได้ ตรงจุดข้ามถนนต้องเจอกับการโจมตีจากฝ่ายพันธมิตรอย่างไม่หยุดยั้ง พวกเขาระดมยิงลูกเหล็ก ลูกแก้ว ตำรวจจึงตอบโต้การโจมตีด้วยการยิงระเบิดแก๊สน้ำตา มีการยิงเข้าใส่ตำรวจที่อยู่ตรงหัวมุมถนนเป็นช่วง ๆ โดยยิงมาจากสถาบันราชวัตร
ตำรวจได้ขอให้พวกพันธมิตรที่หลบซ่อนอยู่ในตึกโดยรอบให้ออกมา ตำรวจตะโกนบอกว่าจะไม่ทำอะไรกับผู้ชุมนุมที่ออกมา ผมเห็นหลายคนเดินออกมาโดยตำรวจไม่ได้ทำอะไรพวกเขา สถานการณ์ที่เหนือจริงอันหนึ่งก็คือ เพื่อนของผม ซึ่งเป็นตำรวจนอกเครื่องแบบที่แฝงตัวอยู่ในกลุ่มพันธมิตร ก็เดินออกจากตึกเหล่านั้นด้วย
หลังจากนั้น สถานการณ์ก็ตึงเครียดอย่างไม่น่าเชื่อ ตำรวจยิงแก๊สน้ำตาตลอดเวลา ทั้งตรงจุดนั้นและแถวหัวมุมถนนที่ใกล้กับประตูใหญ่รัฐสภา
ช่วงขณะหนึ่ง ฝ่ายพันธมิตรพยายามขับรถบรรทุกตรงเข้ามายังตำรวจที่อยู่ตรงถนนร่วมจิต พวกตำรวจจึงรีบตั้งเครื่องกีดขวางและยิงแก๊สน้ำตาเข้าใส่รถบรรทุก ทันก่อนที่รถจะชนตำรวจคนขับถูกตำรวจนำตัวไป
ผมถ่ายรูปเจ้าหน้าที่ตำรวจที่บาดเจ็บหลังจากที่ฝ่ายพันธมิตรใช้ปืนสั้นยิงเข้าใส่ตำรวจตรงหัวมุมตึกรัฐสภา และตำรวจที่ถูกรถปิ๊กอัพพุ่งชนโดยตั้งใจ
มีข่าวออกมาจากรัฐสภาว่าฝ่ายพันธมิตรยิงตำรวจสามคน พวกเขาอยู่ในตึกรัฐสภา และไม่ยอมให้รถพยาบาลเข้าไปรับคนเจ็บ
มีคนวิ่งข้ามถนนออกมาจากรัฐสภาเพื่อหนีออกจากบริเวณนั้นตลอดเวลา
เมื่อฟ้ามืดลง บริเวณนี้ก็สงบลง ผมเดินกลับไปที่
บชน. ซึ่งกำลังเจอกับการโจมตีอย่างต่อเนื่องจากพันธมิตร ตำรวจใช้แก๊สน้ำตา พันธมิตรใช้หนังสติ๊ก เสียงกระสุนปะทะกับโล่กำบังและพื้นถนนตลอดเวลา ครั้งนี้ผมโชคดีที่ไม่ถูกยิงเข้าอีก เห็นได้ชัดว่าฝ่ายพันธมิตรยิงปืนออกไปเป็นครั้งคราวเช่นกัน แต่ผมก็ไม่สามารถระบุได้อย่างแน่นอน มันน่ากลัวมากทีเดียว มีความพยายามขับรถยนต์และรถบรรทุกเข้าชนแนวกีดขวาง แต่ตำรวจสกัดกั้นไว้ได้
ช่วงขณะหนึ่งฝ่ายผู้ชุมนุมหนึ่งหรือสองคนได้รับบาดเจ็บที่ขา แต่ผมไม่ได้เห็นด้วยตาของตัวเอง เพียงได้เห็นจากภาพถ่ายของช่างภาพไทยคนหนึ่ง
และเช่นเดียวกับก่อนหน้านี้ สถานการณ์สงบลงเล็กน้อย ตำรวจสามารถยึดแนวกีดขวางตรงหัวมุมลานพระบรมรูปทรงมากลับมาได้ รถปิ๊กอัพที่มีคนพยายามขับชนตำรวจจอดแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น ตำรวจลากชายสองคนออกมาจากข้างหลัง และเล่นงานพวกเขาเล็กน้อย ผู้หญิงที่บาดเจ็บคนหนึ่งนอนอยู่บนถนน และมีหมอทหารมารับไป
รถฮัมวีของทหารคันหนึ่งวิ่งสังเกตสถานการณ์โดยรอบ และจอดตรงแถวตำรวจครู่หนึ่งก่อนจะต่อไปยังลานพระบรมรูปทรงม้า
หลัง 22.00 น.สถานการณ์เริ่มอยู่ในความควบคุมมากขึ้น ฝ่ายพันธมิตรมีคนน้อยกว่ามาก ส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่ม สักครู่ มีชายใส่ชุดพรางกายทหาร ซึ่งอาจเป็นทหารประจำการหรือนอกราชการที่อยู่ฝ่ายพันธมิตรก็ไม่รู้แน่ เดินมายังแนวลวดหนามและเจรจากับตำรวจอยู่ชั่วครู่
ตำรวจตอบไปว่าพวกเขาจะหยุดยิงแก๊สน้ำตาหากฝ่ายพันธมิตรหยุดยิงหนังสติ๊กและโจมตีตำรวจ ตำรวจเพียงแค่ตอบโต้การโจมตีเท่านั้น
หลังจากนั้นเหตุการณ์ก็อยู่ในความสงบ มีพวกพันธมิตรประมาณ 100 คนที่ยังป้วนเปี้ยนอยู่แถวลานพระรูปฯ ผมจึงกลับบ้าน
ขณะนี้มีการถกเถียงกันว่าตำรวจใช้กำลังเกินกว่าเหตุหรือไม่ และรวมถึงการใช้แก๊สน้ำตาด้วย จากสิ่งที่ผมเห็น ผมเชื่อว่าตำรวจไม่มีทางเลือกอื่น
คุณอาจโทษว่าเป็นเพราะงบประมาณตำรวจที่น่าเวทนา ที่ทำให้พวกเขาไม่มีระเบิดแก๊สน้ำตาที่ก่ออันตรายน้อยกว่านี้ใช้ก็ได้ แต่อย่าโทษเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ในวันนั้น ตำรวจต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยเครื่องมือที่มีให้พวกเขา และในกรณีนี้ ก็คือเครื่องมือที่ทำในรัสเซีย
ถามว่าการบาดเจ็บมีสาเหตุจากระเบิดของฝ่ายพันธมิตรหรือไม่? ตอบตามตรง ผมไม่รู้ ผมรู้แต่ว่ามีการโยนระเบิดโดยผู้ชุมนุมของพันธมิตรบางคนเท่านั้น
ในการเผชิญหน้ากันครั้งนี้ ฝ่ายพันธมิตรได้ใช้อาวุธที่อันตรายและถ้าตำรวจไม่ใช้แก๊สน้ำตา สถานการณ์ก็อาจย่ำแย่จนนำไปสู่การปะทะตัวต่อตัวระหว่างตำรวจกับผู้ชุมนุม และหากเป็นเช่นนั้น ผมมั่นใจว่าจะทำให้สูญเสียชีวิตแก่ทั้งสองฝ่ายมากขึ้น ฝ่ายพันธมิตรมีปืนสั้นจำนวนหนึ่ง ตำรวจหนึ่งหรือสองนายถูกแทงด้วยปลายเสาธง ฉะนั้น เราไม่อยากจะจินตนาการหรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากแก๊สน้ำตาไม่ได้ช่วยสร้างระยะห่างระหว่างทั้งสองฝ่ายไว้ ผมไม่อยากคิดว่าตำรวจตั้งใจทำให้ใครบาดเจ็บ แต่ในช่วงเวลานั้น เป็นช่วงเวลาที่มีทางเลือกน้อยมาก
สิ่งที่คนบางคนดูเหมือนจะลืมก็คือ ความเป็นจริงพื้นฐาน: กฎหมายอยู่ข้างตำรวจ ไม่ได้อยู่ข้างพันธมิตร
นี่คือ ความจริงอีกด้าน ที่ตอกย้ำว่า FACT อาจไม่ได้เป็นอย่างที่คิด ...