โดย จักรภพ เพ็ญแข
ที่มา คอลัมน์ “ผมเป็นข้าราษฎร” หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์วิวาทะ Thai Red News ปีที่ 1 ฉบับที่ 11
การรัฐประหารยังเป็นไปได้ในหัวเลี้ยวหัวต่อ ไม่ว่าจะกระทำโดยอาวุธ โดยกฎหมาย โดยการขอ “รัฐบาลแห่งชาติ” หรือโดยใช้นโยบายไทยฆ่าไทยเหมือนที่เคยใช้ก็ตาม นี่คือเวลาที่ฝ่ายประชาธิปไตยต้องฉลาดรอบคอบเป็นพิเศษ แกล้งโง่ไม่ได้เป็นอันขาด
นี่คือเดือนสิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๒ นะครับ ขอให้พวกเราชาวประชาธิปไตยโปรดตั้งสติและเตรียมตัวไว้ให้ดี อาจจะมีอะไรให้ดูชมในเดือนนี้ และอีกสองเดือนที่จะมาถึง
เพราะผู้บริหารระบอบอำมาตยาธิปไตยตระหนักแล้วว่า ฝ่ายประชาธิปไตยที่ตนทำลายล้างด้วยวิชามารต่างๆ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา กลับมีความมั่นคงแข็งแรงขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ จนอาจจะควบคุมไม่ได้
ไม่ว่าผลการเลือกตั้งซ่อมที่สกลนคร และศรีสะเกษ หรือสัญญาณชี้ความเสื่อมสลายของก๊กนายสุเทพ เทือกสุบรรณในพรรคประชาธิปัตย์จากผลการเลือกตั้งท้องถิ่นใน จ.สุราษฎร์ธานี ความไร้อนาคตโดยสิ้นเชิงของรัฐบาลประชาธิปัตย์ภายใต้นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ โดยเฉพาะการไล่ล่า พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร มาเข้ากับดักของอำมาตย์ในประเทศไทย และการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่ทำให้ถุงเงินฝ่ายอำมาตย์ยากจนลงด้วย
บวกกับความสุดโต่งของฝ่ายอำมาตย์ที่เริ่มแสดงอาการตระหนกตกใจจนทุกคนเห็น (overreaction) ไม่ว่าจะเป็นการสั่งยิงนายสนธิ ลิ้มทองกุล และการหาเรื่องก่อสงครามกับกัมพูชา หรือแม้แต่การยัดข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพให้กับสื่อมวลชนต่างประเทศในเมืองไทยทั้งองค์กร FCCT
อำมาตย์ที่มีประสบการณ์สูงกว่าใครทั้งหมด เริ่มรู้แล้วว่าอาจจะควบคุมคนของตัวเองไม่ได้ ลูกน้องมันกลัวตาย มันก็บุกบั่นประจัญบานไปอย่างขาดความยั้งคิดและขาดสติ เหมือนสุนัขจนตรอก
หนักที่สุดคือการขยายตัวอย่างน่าตกใจของฝ่ายประชาธิปไตย แม้เสื้อแดงบางส่วนจะอยู่ระหว่างรวบรวมความกล้าหาญทางจริยธรรมและสู้ตรงๆ กับศัตรูตัวจริง ไม่ใช่กับ “เงา” ของเขา เราก็รู้ว่าคนที่เคยคิดก้ำกึ่ง ไม่รู้จะเชียร์ฝ่ายไหน ปัจจุบันไหลเข้าสู่ฝ่ายประชาธิปไตยมากขึ้น แม้แต่คนเสื้อเหลืองขณะนี้ก็กำลังรู้สึกสับสนในใจและได้เปลี่ยนใจมาอยู่ฝ่ายประชาธิปไตยแล้วก็มาก มวลชนเสื้อเหลืองที่เพิ่งตาสว่างและน้ำตาตกใน ยังหลบเลียแผลใจอยู่ในถ้ำของตัวเองไม่กล้าออกมาแสดงตัวก็เยอะ
กลไกของศาลที่ใช้มากเกินไปจนคนเขารู้สึกและมองเห็น ก็เริ่มด้าน ผู้พิพากษาหลายคนเริ่มหลบเลี่ยง ไม่ยอมขึ้นพิจารณาพิพากษาคดีที่ฝ่ายอำมาตย์เล่นรังแกฝ่ายประชาธิปไตย ตำรวจและอัยการซึ่งเป็นขั้นตอนก่อนศาล ก็เริ่มไม่ทำตามใบสั่ง หรือเริ่มออกลวดลายอ้างขั้นตอนต่างๆ ไม่น่าแปลกใจที่เขาสั่งย้าย พล.ต.อ.พัชรวาท วงศ์สุวรรณ เพื่อเอาตำรวจฝ่ายขวาขึ้นมาเร่งรัดคดีแทน
พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี อดีตนายตำรวจประจำราชสำนัก ก็ให้รักษาการไป ส่วนคนที่เขาต้องการจริงๆ คือ พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ ก็ให้คอยคิวไปอย่างอดทน
พูดถึง พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ ก็อดทบทวนวีรกรรมของท่านไม่ได้ ในขณะที่คุณทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีและเปิดทำเนียบรัฐบาลให้พี่น้องแท็กซี่เข้ามาร่วมระดมสมอง วางอนาคตของผู้ประกอบวิชาชีพแท็กซี่ครั้งประวัติศาสตร์นั้น คุณธานีในฐานะผู้บัญชาการตำรวจนครบาลสั่งให้ลูกน้องออกใบสั่งแท็กซี่เป็นจำนวนร้อยๆ คัน โทษฐานที่มาจอดรถเกะกะรอบทำเนียบรัฐบาล ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าเขามาตามคำเชิญของนายกรัฐมนตรี
ภาษาราชการอาจจะเรียกว่าความเคร่งครัด แต่นักเลงเขาเรียกการกระทำแบบนี้ว่ากวนตีน
เรื่องนี้อดีตรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมืองในขณะนั้นคือ น.ต.ศิธา ทิวารี น่าจะยังจำได้
เมื่อคุณธานีกวนตีนรัฐบาลประชาธิปไตยอย่างเปิดเผย โดยรู้อยู่ในใจว่าผู้ใหญ่เปี่ยมบารมีคอยคุ้มศีรษะอยู่ เขาก็กลายเป็นขวัญใจคนหนึ่งที่ฝ่ายอำมาตย์เลือกใช้ โดยเฉพาะในยามคับขัน เหมือนที่เคยใช้ พล.ต.อ.ชุมพล โลหะชาละ พล.ต.อ.เสริม จารุรัตน์ และอีกมากมายมาก่อน
ก่อนเหตุการณ์ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ สถานการณ์บ้านเมืองก็เป็นเช่นนี้ไม่มีผิด
รัฐบาลฝ่ายขวาที่มาจากการเลือกตั้ง กลายเป็นรัฐบาลพิการที่เขาใช้แค่เป็นหนังหน้าไฟยังไม่ไหว ในที่สุดเขาก็ต้องเอารัฐบาลของเขามาแทน ก่อนหน้านั้นก็ต้องให้ลูกน้องยึดอำนาจเสียอีกรอบหนึ่งก่อน เพื่อล้มกระดาน เหมือนเปลี่ยนรัฐบาล ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช (ประชาธิปัตย์) มาสู่รัฐบาลนายธานินทร์ กรัยวิเชียร (ภายหลังเป็นองคมนตรี) ก็ต้องให้ พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ ในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุด ยึดอำนาจในเวลา ๑๘.๐๐ น. ของวันที่ ๖ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๙ เสียก่อน
แม้แต่ชื่อ “คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน” ในขณะนั้น ยังคล้ายกับชื่อเต็มของ คปค. ซึ่งเป็นชื่อแรกของคณะยึดอำนาจที่นำโดย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน
เพราะทั้งหมดก็เป็นมายากลอย่างเก่า
งานนี้ต้องจัดการโยกย้ายทหารและตำรวจระดับคุมกำลังให้เป็นฝ่ายขวาจัด เตรียมเข้าบดขยี้ฝ่ายประชาธิปไตยให้เต็มที่
กลุ่มมวลชนฝ่ายขวาจัดอนุรักษ์นิยม อย่างนวพล กระทิงแดง ลูกเสือชาวบ้าน อภิรักษ์จักรี เป็นต้น ที่เคยใช้ในนโยบายไทยฆ่าไทยมาแล้ว เดี๋ยวนี้ก็ใช้มวลชนจัดตั้งที่ใช้สีเหลืองและสีน้ำเงินเป็นสัญลักษณ์ หรือกลุ่มของคนอย่าง พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม ทำหน้าที่แทน
คำถามคือฝ่ายประชาธิปไตยเรียนรู้อะไรบ้างจากเหตุการณ์ระหว่าง ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ จนถึง ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ ซึ่งผมเองก็เล็กเกินไป ต้องอาศัยถามไถ่หาความรู้จากรุ่นพี่ๆ และเอกสารข้อมูลต่างๆ
คำตอบที่ได้รับคือ ฝ่ายประชาธิปไตยต้องไม่เดินทะเล่อทะล่าไปให้เขาฆ่าเล่นตามอำเภอใจ ยิ่งรู้ว่าเมฆหมอกแห่ง ๖ ตุลาใกล้เข้ามาแล้วอย่างนี้ ยิ่งต้องระมัดระวัง
ผมไม่ทราบเหตุผลว่าการยื่นถวายฎีกาทำไมต้องเป็น ๑๗ สิงหาคม และเดิมทีก็ต้องยอมรับว่าไม่สนใจนัก เพราะจิตใจและอุดมการณ์ผ่านจุดนั้นไปนานแล้ว แต่เมื่อเห็นเหตุการณ์ที่ดูจะขมวดเข้าสู่การปะทะระหว่างมวลชนฝ่ายประชาธิปไตย และมวลชนจัดตั้งของฝ่ายอำมาตย์แล้ว ก็ต้องติงกันด้วยความรักและห่วงใยว่า ระยะนี้ทำอะไรขอให้รวดเร็วและกระชับ อย่าเน้นการแห่แหน ไม่ควรทำตัวพะรุงพะรังเพื่อแสดงความสำคัญของใคร
ที่สำคัญ อย่าช่วยซื้อเวลาจนกระทั่งฝ่ายอำมาตย์เขาพร้อมปะทะ ยกเว้นเจตนาจะเคลื่อนไหวเพื่อช่วยให้ฝ่ายอำมาตย์เขาสมหวัง
โปรดระลึกว่าการแสดงพลังของมวลชนประชาธิปไตยไม่ว่าจะใช้ฎีกาหรือใช้อะไรเป็นพาหะก็ตามนั้น ล้วนเป็นเรื่องของเรา ไม่ใช่เรื่องของเขา เมื่อเราจะแสดงจุดยืนและแสดงพลังของเราก็แสดงไว้ โดยไม่ต้องเก้กังอยู่แถวนั้นเหมือนต้องการจะให้เกิดเรื่อง
ชาวประชาธิปไตยต่างรู้ว่าขณะนี้ฝ่ายอำมาตย์กำลังเดือดร้อนยิ่งกว่าเรา เวลาของเขาใกล้หมดลงและลูกน้องตัวใหญ่ๆ ของเขาก็รู้ความจริงข้อนี้ ในขณะที่เวลาของฝ่ายประชาธิปไตยเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น
การรัฐประหารยังเป็นไปได้ในหัวเลี้ยวหัวต่อ ไม่ว่าจะกระทำโดยอาวุธ โดยกฎหมาย โดยการขอ “รัฐบาลแห่งชาติ” หรือโดยใช้นโยบายไทยฆ่าไทยเหมือนที่เคยใช้ก็ตาม
นี่คือเวลาที่ฝ่ายประชาธิปไตยต้องฉลาดรอบคอบเป็นพิเศษ
แกล้งโง่ไม่ได้เป็นอันขาด.
----------------------------------------------------------------
TPNews (Thai People News): ข่าวสารสำหรับผู้รักประชาธิปไตย เที่ยงตรง แม่นยำ ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146
ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน (เฉพาะ DTAC 30 บาท/เดือน)
Call center: 084-4566794-6 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)