สายสัมพันธ์2พระราชวงศ์-พระราชวงศ์เนปาลกับพระราชวงศ์ไทยมีสายสัมพันธ์ที่ดีต่อกันอย่างยาวนานแน่นแฟ้นตลอดอายุราชวงศ์เนปาล 239 ปี ส่วนพระราชจักรีวงศ์ก้าวสู่ปีที่ 227 ในปีนี้ น่าเสียดายที่พระราชวงศ์เนปาลได้ปลาสนาการไปจากประเทศบนเทือกเขาหิมาลัยเสียแล้ว
โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
ที่มา มติชน
13 สิงหาคม 2552
อดีตกษัตริย์คยาเนนทราแห่งเนปาลทำจดหมายสอบถามรัฐบาลถึงวิธีการจ่ายภาษีที่ดิน ค่าโทรศัพท์ และค่าไฟฟ้า พร้อมขอส่วนลดในค่าใช้จ่ายดังกล่าว
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานเมื่อวันที่ 12 สิงหาคมว่า อดีตกษัตริย์คยาเนนทราแห่งประเทศเนปาล ได้ทำการร้องขอให้รัฐบาลช่วยทำการลดรายจ่ายทางด้านภาษีที่ดิน ค่าโทรศัพท์ และค่าไฟฟ้า ที่เขาต้องจ่ายให้แก่รัฐ
โดยอดีตกษัตริย์ของเนปาลไม่เคยต้องจ่ายภาษีใด ๆ ขณะที่รัฐบาลก็เป็นฝ่ายจ่ายค่าโทรศัพท์และไฟฟ้าให้ทางสถาบันกษัตริย์มาตลอด ในช่วงที่เนปาลปกครองด้วยระบอบราชาธิปไตยและประชาธิปไตยในเวลาสั้น ๆ กระทั่งการประท้วงบนท้องถนนของประชาชนในปี พ.ศ.2549 ได้บีบให้อดีตกษัตริย์คยาเนนทราต้องสละอำนาจในการปกครองประเทศให้แก่บรรดาพรรคการเมือง
ต่อมาอดีตกลุ่มกบฏลัทธิเหมาซึ่งครองเสียงข้างมากในสภาได้ร่วมกันลงมติให้เนปาลยกเลิกการปกครองด้วยระบอบราชาธิปไตยและเปลี่ยนประเทศเป็นสาธารณรัฐ ส่งผลให้ราชวงศ์ที่ปกครองประเทศมายาวนาน 239 ปีต้องหมดอำนาจลงอย่างเด็ดขาดเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2551
นับแต่นั้นเป็นต้นมา คยาเนนทราก็ต้องถูกบังคับให้ออกจากพระราชวัง และไปใช้ชีวิตอยู่อย่างเงียบ ๆ ในบ้านพักส่วนตัวในกรุงกาฐมาณฑุ
ล่าสุด สื่อท้องถิ่นของเนปาลได้รายงานว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของเนปาลได้เปิดเผยว่า สำนักงานเลขานุการของอดีตกษัตริย์คยาเนนทราได้เขียนจดหมายมายังกระทรวงการคลังเพื่อสอบถามถึงวิธีการจ่ายภาษีต่าง ๆ และพยายามขอส่วนลดในรายจ่ายดังกล่าว
รัฐบาลอาจจะจัดทำข้อตกลงพิเศษสำหรับอดีตกษัตริย์ หากเขามีเจตจำนงที่จ่ายภาษีทั้งหมดด้วยตัวเอง รมว.คลังเนปาลกล่าว อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไม่ได้เปิดเผยถึงจำนวนเงินภาษีที่คยาเนนทราต้องจ่ายอย่างละเอียด
ทั้งนี้ เมื่อปี พ.ศ.2551 การไฟฟ้าของเนปาล ซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ได้เปิดเผยว่าอดีตราชวงศ์เนปาลได้ค้างจ่ายค่าไฟฟ้าให้แก่ทางการคิดเป็นจำนวนเงินประมาณ 880,000 เหรียญสหรัฐ
000000000บทความประกอบ"บทเรียนล้ำค่าจากเนปาล"000000000
หมายเหตุไทยอีนิวส์:บทความเรื่อง"บทเรียนล้ำค่าจากเนปาล"นี้มีขึ้นเพื่อให้เราพสกนิกรชาวไทยผู้จงรักภักดีสถาบันฯ ต้องใส่ใจอย่างจริงจัง และย้อนมองไปดูบทเรียนที่ผิดพลาดของราชวงศ์เนปาล...และไม่ยินยอมให้มีเรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นในประเทศไทยซ้ำรอย เพื่อให้พระราชจักรีวงศ์ ทรงสถิตย์สถาพรอยู่เป็นมิ่งขวัญแก่พสกนิกรชาวไทยไปตลอดกาล
เผยพระราชสาส์นฉบับสุดท้ายของกษัตริย์คยาเนนทราถึงในหลวง
๓๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๙
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
ราชอาณาจักรไทย
กรุงเทพมหานคร
ประเทศไทย
ฝ่าพระบาท สมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช
หม่อมฉันมีความปลาบปลื้มเป็นอย่างยิ่งที่ได้ทราบว่าฝ่าพระบาทจะเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติครบ ๖๐ ปี โดยจะมีการสมโภชในวันที่ ๑๒ และ ๑๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๙
ในศุภวโรกาสนี้ หม่อมฉันพร้อมด้วยพระราชินี รัฐบาล และประชาชนชาวเนปาล ขอถวายพระพรแด่ฝ่าพระบาททรงครองราชบัลลังก์สืบไป ทรงมีพระชนมายุยิ่งยืนนาน ทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์ และทรงพระเกษมสำราญ
ในโอกาสนี้หม่อมฉันขอขอบพระทัยที่ทรงเชิญเข้าร่วมพิธีสมโภช พร้อมด้วยองค์พระประมุขอื่นๆ และประชาชนชาวไทย อย่างไรก็ดี แม้ว่าหม่อมฉันประสงค์จะเข้าร่วมในวโรกาสอันเป็นมงคล และเป็นประวัติศาสตร์ครั้งนี้ แต่พัฒนาการในประเทศส่งผลให้หม่อมฉันจำต้องอยู่ในประเทศ
ด้วยพระเมตตาหม่อมฉันเชื่อมั่นว่าฝ่าพระบาทจะทรงเข้าพระทัย
หม่อมฉันขอกราบความเคารพอย่างสูงแด่ฝ่าพระบาท
พระอนุชาของฝ่าพระบาท
คยาเนนทรา
...........................................................................
สื่อฝรั่งเตือนพันธมิตรอย่านำสถาบันเป็นเครื่องมือการเมือง ให้ดูบทเรียนผิดพลาดจากเนปาล
บทความของเฮอรัลด์ทรีบูนตั้งคำถามว่า..เป็นไปได้ไหมว่าสถาบันกษัตริย์ของเมืองไทยจะเดินไปทางเดียวกับประเทศเนปาล ที่ราชบัลลังค์ล่าสุดได้ถูกล้มและถูกเปลี่ยนไปเป็นระบอบสาธารณรัฐ?
ในช่วงที่วิกฤตการณ์ทางการเมืองไทยทวีขึ้นถึงขีดสุดเมื่อปลายปีที่แล้ว หนังสือพิมพ์อินเตอร์เนชั่นแนล เฮอรัลด์ ทรีบูน ได้ตีพิมพ์บทความชื่อ"ม็อบกับราชบัลลังก์"โดยเตือนพวกม็อบพันธมิตรฯว่า อาจจะกำลังนำสถาบันกษัตริย์มาแอบอ้างเพื่อเป็นเครื่องมือสร้างความชอบธรรมทางการเมืองของตน เพื่อนำไปทำลายฝ่ายปฏิปักษ์ทางการเมือง สุ่มเสี่ยงที่จะทำให้สถาบันกษัตริย์ซึ่งเป็นที่เคารพเทิดทูน ของพสกนิกรไทย ต้องระคายเคือง โดยเฉพาะพฤติการณ์ยึดสนามบินของพันธมิตร ที่อ้างสถาบันเป็นเครื่องมือนั้น อาจเป็นการหว่านเมล็ดของความไม่ไว้วางใจสถาบันกษัตริย์ในกลุ่มคนส่วนใหญ่ของประเทศอย่างไม่รู้ตัว ซึ่งเรื่องทำนองนี้เคยมีบทเรียนในกรณีของเนปาลมาก่อนแล้ว จึงต้องเตือนพวกนำม็อบมายุ่งเกี่ยวกับพระราชบัลลังก์ต้องตั้งสติให้ดี
บทความระบุว่า เป็นไปได้ไหมว่าสถาบันกษัตริย์ของเมืองไทยจะเดินไปทางเดียวกับประเทศเนปาล ที่ราชบัลลังค์ล่าสุดได้ถูกล้มและถูกเปลี่ยนไปเป็นระบอบสาธารณรัฐ?
ความคิดนี้อาจฟังดูไร้สาระเมื่อพิจารณาถึงว่ากษัตริย์ของเมืองไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล อดุลยเดช ถูกกล่าวขานโดยมีคำนำหน้าว่า "อันเป็นที่เคารพสักการะเทิดทูน" มาโดยตลอดโดยสื่อต่างชาติ และถูกยกย่องเชิดชูโดยสื่อในประเทศมาโดยตลอดเช่นกัน
แต่อย่างที่เนปาลได้พิสูจน์ให้เห็นว่า สถาบันกษัตริย์สามารถทำลายตนเองได้ เมื่อภายในราชวงศ์เองมีการทะลาะเบาะแว้งกัน หรือเมื่อราชวงศ์ที่ไร้ความสามารถทำเลยเถิดจนก่อให้เกิดปฏิกิริยาลุกลาม จนนำไปสู่การโค่นล้มพระราชบัลลังก์และพลิกเปลี่ยนไปเป็นสาธาณรัฐ
พึงตระหนักให้มากว่ากษัตริย์พิเรนทราของเนปาลที่ได้รับการ"เคารพสักการะและเทิดทูน"ในช่วงเวลา 30 ปีที่ครองราชย์ แต่หลังจากที่ถูกสังหารโดยพระโอรสที่มีสติฟั่นเฟือน ในปี 2544 พระองค์ก็ถูกสืบทอดราชบัลลังก์โดย กษัตริย์คยาเนนทรา(King Gyeandendra) ซึ่งก็ได้ทำการยุบสภาในปี 2548 และพยายามจะบังคับให้ใช้ระบอบสมบูรณาฯหรือกษัตริย์มีอำนาจในการปกครองโดยตรง แต่มันก็เป็นความล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ระบอบสาธารณรัฐ และการประท้วงของขบวนการนิยมลัทธิเหมา ปูทางให้เกิดการเลือกตั้งและสถาบันกษัตริย์ก็ถูกล้มล้างไปในเดือนมีนาคมปี2551นี้
เป็นไปได้ไหมว่ากลุ่มผู้ประท้วงที่อ้างว่าสนับสนุนสถาบันกษัตริย์ที่ทำให้สนามบินของไทยเป็นอัมพาต กำลังหว่านเมล็ดของความไม่ไว้วางใจสถาบันกษัตริย์ในกลุ่มคนส่วนใหญ่ของประเทศ เป็นไปได้ไหมว่ากฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ที่แข็งกร้าวมันกลบความขุ่นเคืองใจที่กำลังทวีคูณขึ้นทุกวัน
ประเด็นที่เฮอรัลด์ทรีบูนได้ยกมาเตือนกลุ่มพันธมิตร ทำให้เราพสกนิกรชาวไทยผู้จงรักภักดีสถาบันกษัตริย์ ต้องใส่ใจต่อคำเตือนนี้อย่างจริงจัง และย้อนมองไปดูบทเรียนที่ผิดพลาดของราชวงศ์เนปาล...
สิ้นราชบัลลังก์-กษัตรยิ์คยาเนนทราแห่งเนปาล กับพระราชินีของพระองค์ทรงพยายามที่จะรักษาพระราชวงศ์เอาไว้จนถึงที่สุด แต่ก็ทำได้เพียงแค่การนำแพะมาเชือดบูชายัญเจ้าแม่กาลีตามพิธีกรรมความเชื่อของฮินดู ขณะที่เสียงโห่ร้องขับไล่ใกล้พระราชวังเข้ามา ในที่สุดรัฐสภาเนปาลลงมติในเดือนพฤษภาคมปี2551ให้ยกเลิกระบบกษัตริย์และเปลี่ยนเป็นสาธารณรัฐ
ทำไมราชวงศ์ชาห์อันเป็นศูนย์รวมใจเนปาลทั้งชาติถูกโค่นล้มลงไป
ความศรัทธาในตัวพระองค์เสื่อมถอยลง หลังพระองค์ทรงเข้าแทรกแซงการเมือง โดยยึดอำนาจเบ็ดเสร็จมาจากรัฐบาลที่ประชาชนเลือกตั้ง
ฉากสุดท้ายของพระราชวงศ์ชาห์แห่งเนปาลเป็นไปอย่างอัปยศ รัฐบาลใหม่ของเนปาลเตือนให้กษัตริย์คยาเนนทราต้องออกจากพระราชวังในวันที่ 28 พฤษภาคม2551 หลังสมัชชาแห่งชาติเปิดประชุมครั้งแรก พร้อมคำประกาศเลิกสถาบันกษัตริย์ ถือเป็นการสิ้นสุดทั้งราชวงศ์ชาห์แห่งเนปาลที่ปกครองประเทศมายาวนานถึง 239 ปี และระบอบกษัตริย์ในประเทศนี้ไปพร้อมๆกัน
พระองค์ทรงมีพระราชขัตติยะมานะ เพราะเลยเส้นตายของรัฐบาลสาธารณรัฐล่วงไปถึง 11 มิถุนายน 2551 กษัตริย์คยาเนนทราจึงพร้อมด้วยพระราชินีของพระองค์เสด็จออกจากพระราชวังเพื่อไปประทับ ณ พระตำหนักนิรมาลนิวาส พระตำหนักส่วนพระองค์ โดยมีชาวเนปาลที่ต่อต้านพระองค์มากลุ้มรุมส่งเสียงโห่ไล่ และเต้นรำเฉลิมฉลองกันสุดเหวี่ยง
ราชวงศ์ชาห์ ซึ่งเป็นราชวงศ์สุดท้ายที่ชาวเนปาลเคยนับถือดั่งเทพเจ้าของศาสนาฮินดู ได้กลายเป็นตำนาน หลังสภาร่างรัฐธรรมนูญ ประกาศให้เนปาลเป็นประเทศสาธารณรัฐอย่างเป็นทางการ ในการประชุมนัดแรกในวันที่ 28พฤษภาคม 2551
ชะตากรรมของอดีตกษัตริย์คยาเนนทราหลังจากนั้นก็คือ การไฟฟ้าของเนปาลได้จัดส่งบิลไปเก็บค่าไฟฟ้าที่คิดค้างไว้ราว 40 ล้านบาท โดยบอกว่าทรงติดไว้นับแต่ปี2548เป็นต้นมา
และไม่กี่สัปดาห์ก่อนที่จะถูกล้มล้าง พระองค์ได้ไปปรากฎตัวต่อสาธารณชนอย่างที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยครั้ง โดยทรงเข้าร่วมพิธีทางศาสนาที่วัดแห่งหนึ่งทางใต้ของกรุงกาฏมาณฑุ เพื่อทำพิธีเชือดแพะบูชายัญ หวังจะต่ออายุพระราชวงศ์ ทว่าไม่เป็นผลใดๆ
มีรายงานว่า พระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์ ถูกปลดออกจากฝาตามร้านรวงต่างๆ รวมทั้งถูกถอดออกจากธนบัตร ขณะที่คำว่า "Royal"ก็ถูกลบออกจากชื่อของกองทัพ รวมทั้งสายการบินแห่งชาติ และรัฐบาลได้งดจ่ายเงินงบประมาณค่าใช้จ่ายของพระองค์ปีละ 3 ล้าน 1 แสนดอลลาร์ และยึดวัง 10 แห่งของราชวงค์คืน
กษัตริย์คยาเนนทราทรงขึ้นครองราชย์สืบต่อจากพระเชษฐา คือกษัตริย์พิเรนทรา ที่ถูกเจ้าชายทิเพนทรา มกุฎราชกุมาร ปลงพระชนม์พร้อมด้วยพระราชวงศ์เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2544 แต่ความศรัทธาในตัวพระองค์เสื่อมถอยลง หลังพระองค์ทรงเข้าแทรกแซงการเมือง โดยยึดอำนาจเบ็ดเสร็จมาจากรัฐบาลที่ประชาชนเลือกตั้ง และให้คำมั่นว่าจะบดขยี้กลุ่มกบฎลัทธิเหมาด้วยพระองค์เอง แต่ถูกกระแสต่อต้านจากประชาชนจนต้องทรงยอมคืนอำนาจให้กับประชาชนในที่สุด
แต่ชาวเนปาลกลับไปไกลกว่านั้น คือให้ล้มเลิกระบบกษัตริย์ และเปลี่ยนไปเป็นสาธารณรัฐแทน
ซุบซิบกันว่าสังหารพระเชษฐาเพื่อฮุบราชสมบัติ และทรงมีพระราชโอรสเพลย์บอย
บัลลังก์เลือด-กษัตริย์คยาเนนทราเป็นสมมุติเทพตามความเชื่อของศาสนาฮินดู พระองค์ทรงเข้ารับราชสมบัติต่อจากพระเชษฐาที่สวรรคตในเหตุนองเลือดในพระราชวัง มีเสียงลือซุบซิบในหมู่ผู้ต่อต้านว่าพระองค์อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์น่าสพรึงนี้
จู่ๆเฉพาะการเข้าแทรกแซงการเมือง คว่ำรัฐบาลจากการเลือกตั้งของประชาชน คงไม่น่ามีผลสะเทือนให้พระราชวงศ์ที่ยืนยาว240ปีต้องถึงกาลอวสาน แต่มันมีเรื่องซุบซิบอื่นๆในเรื่องพระราชจริยาวัตรส่วนพระองค์ และข่าวอัปมงคลต่างๆที่อ่อนไหวต่อความรู้สึกของสาธารณชนด้วย 2ในข่าวซุบซิบนั้นเป็นเรื่องเล่าลือกันว่าอาจทรงเกี่ยวพันกับการสังหารพระเชษฐาเพื่อหวังในราชสมบัติ กับทรงมีพระโอรสที่เป็นเพลย์บอย ไม่เป็นที่นิยมของพสกนิกรชาวเนปาลอีกด้วย
ตามคติความเชื่อดั้งเดิมของฮินดู ทรงเป็นสมมติเทพมาปราบยุคเข็ญ ชาวเนปาลเชื่อว่าแท้จริงแล้วกษัตริย์คือปางอวตารของวิษณุเทพ อันเป็นคติแต่โบราณของผู้คนในชมพูทวีป
อดีตกษัตริย์คยาเนนทราประสูติเมื่อ 7 กรกฎาคม พ.ศ.2490 ทรงสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนของชาวคริสต์ในเมืองดาจีลิง (Darjeeling) ประเทศอินเดีย พระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน พ.ศ.2544 ต่อจากกษัตริย์พิเรนทรา (King Birendra Bir Bikram Shah Dev) ผู้เป็นพระเชษฐา ซึ่งครองราชย์ตั้งแต่ปี 2515 ก่อนจะสิ้นพระชนม์ในเหตุการณ์ ‘สังหารโหดในพระราชวัง’ (the Palace Massacre) ในวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ.2544 ที่เจ้าชายดิเพนทราพระโอรสซึ่งเสวยน้ำจัณฑ์จนเมามายได้กราดยิงพระองค์และพระบรมวงศานุวงศ์รวม 10 พระองค์จนสิ้นพระชนม์ก่อนที่เจ้าชายดิเพนทราจะปลงพระชนม์ตัวเองตาม
โดยพื้นฐานทางการเมืองของเนปาลเองปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นเวลายาวนาน ก็เพิ่งจะมีประชาธิปไตยหลังจากขบวนการ ‘จัน อันโดลัน’ (Jan Andolan Movement) หรือแปลเป็นไทยว่าขบวนการประชาชน ได้บีบให้กษัตริย์พระองค์ก่อนคือพิเรนทรายอมปฏิรูปการเมือง และพระราชทานรัฐธรรมนูญในเดือนพฤษภาคมปี พ.ศ.2534 ทำให้เนปาลมีรัฐสภาอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยมีกิริยา ปราสาท กัวราลา (Girija Prasad Koirala) จากพรรคคองเกรสเนปาล (Nepali Congress Party) ชนะการเลือกตั้งเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี
แต่การเมืองเนปาลก็เข้าสู่สภาพไร้เสถียรภาพ เพราะเกิดสงครามกลางเมืองระหว่างกองทัพของรัฐบาล กับพรรคคอมมิวนิสต์เนปาล (เหมาอิสต์) หรือกบฏลัทธิเหมานำโดยสหายประจันดา (Prachanda) ที่จับอาวุธสู้มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2538 จนฝ่ายกบฏมีฐานที่มั่นอยู่ใน 50 จังหวัดจาก 75 จังหวัดของเนปาล และสงครามกลางเมืองก็ได้ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 12,500 ราย
เมื่อเกิดเหตุการณ์ ‘สังหารโหดในพระราชวัง’ (the Palace Massacre) และกษัตริย์คยาเนนทราทรงขึ้นครองราชย์ในปี พ.ศ.2544 การเมืองเนปาลก็ยิ่งไร้เสถียรภาพเข้าไปอีก เพราะพระองค์อ้างเหตุความไม่สงบในเนปาลเข้าแทรกแซงการเมืองระบอบรัฐสภาอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
อาทิทำการปลด และแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีด้วยพระองค์เองรวม 5 ครั้งช่วงปี 2544 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2548 ก่อนที่พระองค์จะยึดอำนาจการปกครองของเนปาลมาอยู่ที่พระองค์เองในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2548 โดยพระองค์อ้างเหตุผลการยึดอำนาจว่าเพราะนายกรัฐมนตรีคนก่อนบริหารราชการแผ่นดินบกพร่องในเรื่องการเตรียมการเลือกตั้ง และไม่สามารถสร้างความสงบเรียบร้อยขึ้นมาในบ้านเมืองได้ โดยพระองค์สัญญาว่าจะคืน “ความสงบเรียบร้อยและประชาธิปไตยที่มีประสิทธิภาพ” ภายในเวลา 3 ปี
นอกจากนี้พระองค์ยังตัดสินพระทัยจำกัดเสรีภาพของประชาชนรวมไปถึงเสรีภาพในการนำเสนอของสื่อมวลชน มีการจับกุมนักการเมือง นักเคลื่อนไหวที่เห็นต่างจากพระองค์ ทำให้องค์กรสิทธิมนุษยชนและองค์กรประชาธิปไตยในประเทศกังวลต่อสถานการณ์ในเนปาลโดยเฉพาะกับนักข่าวและนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชนของเนปาล แต่กษัตริย์คยาเนนทราก็ทรงตอบโต้องค์กรต่างประเทศเหล่านั้นว่า “ประชาธิปไตยและเสรีภาพที่ก้าวหน้าทั้งหลายจำเป็นน้อยกว่าการฟื้นฟูความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ!”
นอกจากความไม่พอใจในตัวกษัตริย์เนปาลจะเกิดเพราะการเข้ายึดอำนาจของกษัตริย์คเยนทราแล้ว สิ่งที่ช็อกความรู้สึกชาวเนปาลอีกประการหนึ่งคือการที่คณะลูกขุนของรัฐบาลตัดสินว่าเจ้าชายดิเพนทรา (Prince Dipendra) พระโอรสของกษัตริย์พิเรนทรา กษัตริย์พระองค์ก่อน ซึ่งยิงพระองค์เองเสียชีวิต ได้เป็นฆาตกรสังหารพระราชบิดา และพระบรมวงศานุวงศ์ในเหตุการณ์สังหารโหดในพระราชวังปี 2544 ครั้งนั้น แต่สำหรับเรื่องนี้เป็นการยากที่จะให้ชาวเนปาลทำใจเชื่อได้ แถมกบฏลัทธิเหมายังกระพือข่าวว่ากษัตริย์คยาเนนทราผู้สืบราชสมบัติต่อนั่นแหละเป็นตัวการในการสังหารโหดครั้งนั้น
กระแสข่าวทางลบในลักษณะนี้ต่อกษัตริย์คยาเนนทรายังคงแพร่กระจายไปทั่วเนปาล ผู้คนต่างตั้งคำถามว่ากษัตริย์คยาเนนทราหนีออกจากพระราชวังได้อย่างไรในวันที่เหตุฆาตกรรมหมู่เกิดขึ้น และพระราชโอรสพระองค์เดียวของพระองค์ คือเจ้าฟ้าชายพาราช (Prince Paras) หลบออกจากพระราชวังไปได้อย่างไรโดยที่ไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่รอยขีดข่วน!?
และยิ่งเจ้าฟ้าชายพาราช ผู้จะสืบทอดราชสมบัติต่อจากพระราชบิดา และสืบราชสมบัติแห่งราชวงศ์ชาห์กลับมีนิสัยชอบขับรถซิ่ง และความเจ้าสำราญที่ชาวเนปาลขนานนามพระองค์ว่า “The playboy” ยิ่งทำให้ความนิยมของประชาชนต่อเจ้าชายพาราชผู้สืบทอดราชสมบัติของราชวงศ์ชาห์ และทำให้กษัตริย์คยาเนนทราไม่เป็นที่นิยมชนิดร้าวลึก
ประมาณการณ์ผิดเป็นเหตุให้ถึงกาลอวสานอย่างอัปยศ
ทรงสำคัญผิด-การยึดกุมอำนาจในกองทัพไว้ได้ และมีผู้นำเหล่าทัพที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัย กอรปกับการประชาสัมพันธ์ชวนเชื่อให้ประชาชนได้เห็นแต่ด้านดีของระบบกษัตริย์ทำให้พระองค์ทรงประเมินสถานการณ์ผิดพลาด
พันธมิตรแห่งแนวต้านอำนาจสมบูรณาญาสิทธิ์
การที่พระองค์ประมาณสถานการณ์ผิดว่าสามารถยึดกุมกองทัพเอาไว้ ถึงขั้นล้มรัฐบาลหลายคณะ และที่สุดรวบพระราชอำนาจมาไว้ที่พระองค์เสียเอง กับเชื่อมั่นว่าการประชาสัมพันธ์แต่ด้านบวกให้พสกนิกรชาวเนปาลเทิดทูนก็เพียงพอแล้ว และหวังว่าจะทำสงครามเอาชนะพวกกบฎคอมมิวนิสต์ได้ พระองค์ก็จะกลายเป็นวีรบุษผู้ยิ่งใหญ่ของชาติ ทั้งหมดนี้ทำให้ราชวงศ์เดินทางมาถึงจุดจบ..เพราะสิ่งที่พระองค์ไม่ได้นำมาประเมินเลยก็คือ พลังของประชาชนผู้กระหายประชาธิปไตย และการปกครองโดยประชาชน
ท่ามกลางอำนาจสมบูรณาญาสิทธิ์ในประเทศ ต่อมาในวันที่ 22 พฤศจิกายน 2548 พันธมิตร 7 พรรคการเมืองเของเนปาล (Seven Party Alliance - SPA) ซึ่งเป็นพรรคการเมืองในสภาร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์เนปาล (เหมาอิสต์) หรือกบฏลัทธิเหมา ได้ทำสัญญาเป็นพันธมิตรบันทึกข้อตกลง 12 ประการเพื่อสันติภาพและประชาธิปไตย เพื่อต่อต้านการปกครองของกษัตริย์คยาเนนทราซึ่งทำให้เกิดฝ่ายต่อต้านการปกครองของกษัตริย์ขยายตัวออกไปทั่วประเทศ
การต่อต้านพระราชอำนาจได้ถึงจุดปะทะเมื่อวันที่ 21 มกราคม 2549 พันธมิตร 7 พรรคการเมืองจัดการชุมนุมในกรุงกาฐมาณฑุ เรียกร้องประชาธิปไตย และคว่ำบาตรการเลือกตั้งท้องถิ่นที่กษัตริย์คยาเนนทราได้จัดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ เนื่องจากเห็นว่าการเลือกตั้งดังกล่าวเป็นเพียงมายาภาพที่แสดงให้เห็นว่านี่เป็นก้าวแรกสู่ประชาธิปไตยเพื่อสร้างความชอบธรรมในการกุมอำนาจเบ็ดเสร็จของพระองค์ที่ดำเนินมากว่า 1 ปี
โดยรัฐบาลพยายามสกัดการชุมนุมของประชาชนด้วยการประกาศเคอร์ฟิวห้ามออกจากบ้านในยามวิกาลในเขตเมืองหลวงและบางพื้นที่ของเนปาล ห้ามการชุมนุมสาธารณะ มีการตัดสัญญาณโทรศัพท์และคุกคามผู้ออกมาต่อต้านการเลือกตั้งดังกล่าว ทำให้การชุมนุมเลื่อนจากวันที่ 20 มกราคม มาเป็นอีกวันหนึ่ง
โดยในวันที่ 21 มกราคม มีการเดินขบวนท้าทายอำนาจของกษัตริย์ครั้งใหญ่โดยประชาชนหลายพันคน ทำให้รัฐบาลของกษัตริย์คยาเนนทราใช้กำลังปราบปรามอย่างรุนแรง จนมีผู้นำพรรคการเมือง นักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน ผู้นำแรงงาน นักศึกษา และนักหนังสือพิมพ์ถูกจับกุมหลายร้อยคน ขณะที่ผู้ชุมนุมส่วนใหญ่ตอบโต้ด้วยการขว้างปาก้อนหินใส่ตำรวจและทหาร พร้อมเผายางรถยนต์เป็นเครื่องกีดขวาง ซึ่งการปราบปรามครั้งนั้นทำให้การชุมนุมต่อต้านกษัตริย์ปะทุไปทั่วประเทศ
การประท้วงใหญ่เดือนเมษายน และการสละพระราชอำนาจสมบูรณาญาสิทธิ์
ในเดือนเมษายน 2549 ภายใต้การนำของพันธมิตร 7 พรรคการเมืองเนปาล (Seven Party Alliance - SPA) และกบฏลัทธิเหมาได้มีการต่อต้านครั้งใหญ่เพื่อทวงประชาธิปไตยคืนมาจากกษัตริย์ตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน มีการนัดหยุดงานทั่วประเทศเป็นเวลา 4 วัน ตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน และจัดการชุมนุมใหญ่ในเมืองหลวงวันที่ 8 เมษายน ตามด้วยการดื้อแพ่งด้วยการหยุดจ่ายภาษี เช่นเดียวกับการประท้วงหลายต่อหลายครั้ง
รัฐบาลได้ประกาศเคอร์ฟิวห้ามไม่ให้ประชาชนออกมาชุมนุม แต่การชุมนุมประท้วงกลับขยายตัวไปตามเมืองใหญ่ๆ ตลอดทั้งเดือน ทำให้รัฐบาลพยายามควบคุมสถานการณ์ด้วยการใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดสลายการชุมนุมกระทั่งมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก จำนวนผู้ออกมาประท้วงเฉพาะในเมืองหลวงพุ่งสูงกว่า 300,000 - 500,000 คน
และในวันที่ 21 เมษายนกษัตริย์คยาเนนทราได้มีพระราชดำรัสว่าจะทรงคืนอำนาจบริหารให้แก่ประชาชน และจะจัดการเลือกตั้งใหม่ให้เร็วที่สุด รวมทั้งขอให้กลุ่มพันธมิตรฯ เสนอชื่อชื่อบุคคลที่เหมาะสมในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
แต่กลุ่มพันธมิตรฯ และกลุ่มกบฏลัทธิเหมาปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว พร้อมกับนัดชุมนุมใหญ่อีกครั้งในวันที่ 25 เมษายน
กระทั่งเที่ยงคืนของวันที่ 24 เมษายน กษัตริย์คยาเนนทราได้ยอมประกาศคืนอำนาจให้ประชาชนผ่านสถานีโทรทัศน์ว่า พระองค์จะฟื้นฟูสภาผู้แทนราษฎรที่ล้มเลิกไปและขอให้พรรคการเมืองทั้ง 7 พรรคกลับมาร่วมรับผิดชอบดูแลประเทศชาติ เพื่อประชาธิปไตยและสันติภาพของชาวเนปาล ทำให้วันรุ่งขึ้นชาวเนปาลจำนวนมากออกมาชุมนุมแสดงความยินดีต่อชัยชนะของประชาชนตามท้องถนน
ตลอดการประท้วงใหญ่ 19 วัน มีการปราบปรามโดยกองกำลังรัฐบาลจนมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 19 คน และผู้บาดเจ็บนับพันคน ด้วยเหตุนี้ระหว่างประท้วงจึงทำให้มวลชนตามท้องถนนเผาหุ่นของกษัตริย์และประณามกษัตริย์คเยนทราว่าเป็น “ฆาตกร”
ไม่มีอำนาจใดในโลกหล้า ผู้ปกครองต่างมาแล้วสาบสูญ
จุดพลุไล่-ชาวเนปาลออกมาเต้นรำเฉลิมฉลองการที่รัฐสภาลงมติยกเลิกระบบกษัตริย์ สิ้นสุดราชวงศ์ชาห์อายุยาวนาน 240 ปี และเปิดศักราชใหม่ของระบบสาธารณรัฐ เมื่อ28พ.ค.2551
ภายหลังจากที่สภาถูกฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ นายกิริยา ปราสาท กัวราลา อดีตนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคคองเกรสเนปาล ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีชั่วคราว โดยเขาสัญญาว่าจะจัดการเลือกตั้งคณะร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ตามข้อเรียกร้องของประชาชน
ต่อมาอดีตรัฐมนตรี 5 คนที่ทำงานให้กษัตริย์คยาเนนทราก็ถูกจับกุม และสอบสวนกรณีใช้ความรุนแรงปราบปรามประชาชนที่ชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตย นอกจากนี้รัฐบาลชุดใหม่และสภาผู้แทนราษฎรยังได้ดำเนินการลดทอนพระราชอำนาจอย่างต่อเนื่องทำให้ฐานะของสถาบันกษัตริย์เนปาลกลายเป็นประมุขของประเทศแต่ในทางพิธีกรรม (Ceremonial Monarchy) เท่านั้น เช่น ห้ามมิให้กษัตริย์มีอำนาจสั่งการกองทัพอีกต่อไป ทั้งนี้กองทัพเคยมีบทบาทในการช่วยกษัตริย์คยาเนนทรายึดอำนาจด้วยการกราบบังคมทูลเชิญกษัตริย์คยาเนนทราขึ้นสู่อำนาจการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ การจับนายกรัฐมนตรีและผู้นำพรรคการเมืองต่างๆ ในขณะนั้น มีการเปลี่ยนชื่อกองทัพจากกองทัพในพระมหากษัตริย์เนปาล (Royal Nepalese Army) มาเป็นกองทัพแห่งชาติเนปาล (Nepalese Army)
แถมเพลงชาติเนปาลซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ขึ้นต้นในทำนองว่า “ขอพระบารมีปกเกล้า, เป็นขวัญอธิปไตย เธอชาวเนปาลผู้กล้า มีมหาราชาธิราชเป็นกษัตริย์ของเรา...” ก็ถูกเปลี่ยนอีกด้วย
ที่สำคัญหลังการประท้วงครั้งใหญ่ในเดือนเมษายนก็ทำให้กษัตริย์คยาเนนทราก็ไม่ค่อยปรากฏพระองค์ในสถานที่สาธารณะ รถนำขบวนพระราชวงศ์ซึ่งการเสด็จครั้งหนึ่งต้องปิดถนน และทำให้รถติดในเมืองหลวงเป็นกินนานหลายชั่วโมง รวมทั้งการเสด็จแปรพระราชฐานไปยังชนบทด้วยเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งก็ถูกยกเลิก
เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีการโดดเดี่ยวกษัตริย์คยาเนนทรา ในงานเฉลิมพระชนมพรรษา ก็ไม่มีเด็กนักเรียนเป็นจำนวนมาก มาร่วมงานฉลองเหมือนอย่างเคย แถมรัฐมนตรีในรัฐบาลก็ไม่เข้าร่วมงานเลี้ยงดังกล่าว
ที่สุดแล้วรัฐสภาเนปาลได้ประกาศยกเลิกระบบกษัตริย์ลงอย่างเด็ดขาด และเปลี่ยนประเทศเป็นระบบสาธารณรัฐ และยื่นคำขาดให้อดีตกษัตริย์ทรงออกจากพระราชวัง เพื่อนำไปทำเป็นพิพิธภัณฑ์ และเพื่อประโยชน์ของประชาชนชาวเนปาล
ในที่สุดนายคยาเนนทรา อดีตกษัตริย์เนปาลได้ออกจากพระราชวังในวันที่ 11 มิถุนายน 2551 โดยนั่งมาในรถเมอร์ซีเดสเบ๊นซ์กับนางคยาเนนทรา ภรรยาของเขา โดยมีชาวเนปาลที่โกรธแค้นกรูเข้าไปห้อมล้อมรถ ที่ไม่มีขบวนนำยาวเหยียดออกจากพระราชวังไป โดยทหารมากั้นไว้พอเป็นพิธี และให้รถยนต์คันนั้นเคลื่อนออกไปได้
และจะไม่ได้กลับมาในพระราชวังกาฎมาณฑุอีก...ตลอดกาล.
ศักราชใหม่-สตรีเนปาลเขียนสีแดงบนหน้าผากของเธอ มันสะกดเป็นภาษาไทยได้ความหมายว่า"สาธารณรัฐจงเจริญ"
...................
ความโชคดีของพสกนิกรชาวไทย
ความโชคดีของพสกนิกรชาวไทยก็คือ เรามีพระราชจักรีวงศ์ อันทรงคุณประเสริฐมาแล้วกว่า 227 ปี มีพระมหากษัตริย์ที่ทรงพระราชอัจริยภาพในทุกด้าน และทรงมีพระมหากรุณาธิคุณแก่พสกนิกรชาวไทยอย่างหาที่สุดมิได้ มีพระบรมราชวงศ์อันเป็นที่รักเทิดทูนทุกพระองค์ล้วนแต่มีพระอัจริยภาพ และพระราชจริยาวัตรอันงดงาม ทรงเหนื่อยยากเพื่อปวงชนชาวไทย มีพระเมตตาต่อพสกนิกรทุกหมู่เหล่าอย่างเสมอกัน
ในหลวงและพระราชวงศ์ทุกพระองค์ทรงอยู่เหนือการเมือง และด้วยเดชะพระบารมีทำให้เรารอดพ้นวิกฤตการณ์ความยุ่งยากต่างๆมาได้ แต่คำเตือนของเฮอรัลด์ ทรีบูนที่ได้ยกมาเตือนใจกลุ่มพันธมิตรฯ ทำให้เราพสกนิกรชาวไทยผู้จงรักภักดีสถาบันกษัตริย์ ต้องใส่ใจอย่างจริงจัง และย้อนมองไปดูบทเรียนที่ผิดพลาดของราชวงศ์เนปาล...และไม่ให้มีเรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นในประเทศไทย เพื่อให้พระราชจักรีวงศ์สถิตย์สถาพรอยู่เป็นมิ่งขวัญแก่พสกนิกรชาวไทยไปชั่วฟ้าดิน
ตลอดกาล.