โดย จักรภพ เพ็ญแข
ที่มา คอลัมน์ “ผมเป็นข้าราษฎร” หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์วิวาทะ Thai Red News ปีที่ 1 ฉบับที่ 10
ในรัชกาลของพระเจ้าเอกทัศน์ ทหารที่อุตส่าห์ยิงปืนใหญ่สู้กับอริราชศัตรูอย่างกล้าหาญกลับถูกลงทัณฑ์ เพราะมีใครก็ไม่รู้มาบอกว่าเสียงปืนใหญ่รบกวนเบื้องพระยุคลบาท จนทุกคนไม่กล้าทำหน้าที่ที่ควรทำ ในที่สุดพระนครศรีอยุธยาก็ล่มสลายลงในปี พ.ศ.๒๓๑๐ หลังตระหง่านอยู่ได้นานกว่า ๔ ศตวรรษ
น่าตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก แม้แต่ผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการครอง รศ. ๑๓๐ และ พ.ศ.๒๔๗๕ ท่านก็อาจนึกไม่ถึงว่าวันหนึ่งจะมีคนไทยจำนวน ๕ ล้าน ๔ แสนคนออกมาแสดงตัวชัดเจนด้วยชื่อจริงนามสกุลจริง และลงนามในเอกสารอย่างหนึ่งที่เขาเรียกว่าฎีกา โดยใช้เวลาเพียงเดือนเดียว
ฎีกาถึงพระมหากษัตริย์ไทยเป็นโบราณราชประเพณี เป็นวิถีทางหนึ่งที่ผู้อาศัยในแผ่นดินจะแสดงความขุ่นข้องหมองใจหรือ “ร้องทุกข์” ต่อกษัตริย์ ที่เราขานพระนามกันอย่างหลากหลายตั้งแต่ในหลวงเจ้าชีวิต พระเจ้าแผ่นดิน พระเจ้าอยู่หัว จนถึงองค์พระประมุขและอื่นๆ สุดแต่จะกำหนดความสัมพันธ์ไว้ในใจอย่างไรระหว่างตนเองกับพระองค์ท่าน
การรวบรวมรายชื่อผู้ลงนามถวายฎีกาเมื่อวันศุกร์ที่ ๓๑ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๒ เป็นการรวบรวมรายชื่อของคนไทยที่มีความทุกข์ครั้งใหญ่ที่สุดที่เคยบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์สยาม หรือแม้แต่ในปูมหลวง
อย่าว่ากระทรวงมหาดไทยที่ออกมาหาเสียงกับอำมาตย์ใหญ่ด้วยการตั้งโต๊ะให้คนมาถอนรายชื่อเลยครับ งานนี้ต่อให้รัฐบาลทั้งคณะ ระบบราชการทั้งระบบ ก็ไม่สามารถเอาตัวเข้ามาขวางกระบวนการลงนามถวายฎีกาครั้งนี้ได้ เพราะประชาชนเขาจะต่อสายตรงถึงพระมหากษัตริย์ มันก็ไม่ใช่ธุระของใครหน้าไหนทั้งนั้น
การร้องทุกข์ครั้งนี้ไม่ได้บอกว่าอะไรถูกอะไรผิด ไม่ได้บอกว่าสิ่งมีชีวิตที่เรียกกันโดยทั่วไปว่าศาลนั้นเตี้ยหรือสูง ไม่ได้บอกว่าถ้าไม่ได้ตามความต้องการแล้วมวลชนจะทำอะไรต่อไปให้คนเขาวิจารณ์ได้ว่าขู่ แต่เป็นการสื่อสารตามประเพณีการปกครองแบบไทย ซึ่งเป็นการปกครองที่มีพระมหากษัตริย์และประชาชนร่วมอยู่ในอาณาเขตเดียวกัน ว่าเขามีทุกข์คนมีทุกข์เขาก็ร้อง งานนี้จึงเรียกกันว่าถวายฎีการ้องทุกข์
ก็เท่านั้น
ตรงไปตรงมาที่สุดและไม่ได้อ้างความจงรักภักดีอย่างตอหลดตอแหล ไม่ได้ยึดพระมหากษัตริย์เอาไว้เป็นเครื่องมือหาประโยชน์เข้าพกเข้าห่อของตัวเอง แต่ทำหน้าที่อย่างเป็นธรรมชาติของเอกรัฐที่มีการปกครองเยี่ยงนี้
คนที่ขัดขวางกระบวนการนี้จึงมีเจตนาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น คือไม่ต้องการให้พระมหากษัตริย์ได้ทรงทราบว่าคนเป็นจำนวนมากเขากำลังมีความทุกข์ การขัดขวางเช่นนี้ถือเป็นการขัดพระปฐมบรมราชโองการ หรือคำสั่งแรกของพระมหากษัตริย์พระองค์นี้โดยตรงคือ “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม...”
ธรรมคือความดี ความงาม และความเป็นธรรมชาติ
ประชาชนเขาร้องทุกข์ว่าขณะนี้เขาเห็นว่าบ้านเมืองไม่ดี ไม่งาม และเขาก็เลือกที่จะแสดงออกโดยธรรมชาติ
นั่นคือร้องทุกข์ถวายพระมหากษัตริย์ที่เขาเชื่อว่าเป็นธรรมราชา
ความหวังของเขาคือ ธรรมราชาคงจะมีพระบรมราชวินิจฉัยอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะทำให้ความทุกข์ร้อนของเขาลดลง หรืออย่างน้อยก็ทรงช่วยหาทางดับไฟที่กำลังลุกลามไปทั่วพระราชอาณาจักร เพื่อให้ประเพณีการปกครองแบบนี้ดำรงสภาพอยู่ต่อไปได้
จำได้ไม่ใช่หรือว่า ในรัชกาลของพระเจ้าเอกทัศน์ ทหารที่อุตส่าห์ยิงปืนใหญ่สู้กับอริราชศัตรูอย่างกล้าหาญกลับถูกลงทัณฑ์ เพราะมีใครก็ไม่รู้มาบอกว่าเสียงปืนใหญ่รบกวนเบื้องพระยุคลบาท จนทุกคนไม่กล้าทำหน้าที่ที่ควรทำ ในที่สุดพระนครศรีอยุธยาก็ล่มสลายลงในปี พ.ศ.๒๓๑๐ หลังตระหง่านอยู่ได้นานกว่า ๔ ศตวรรษ
พระราชอาณาจักรที่ยาวนานกว่าสี่ร้อยปีประสบความล้มเหลวในการรักษาพระราชอำนาจล้นพ้น เพียงเพราะลมปากของคนใกล้ชิดที่สอพลอคลอเคลีย ถ้าใครในวันนี้ยังไม่ถึงขั้น “วิปริตพุทธิ” แล้วไซร้ ก็สามารถจะใช้เป็นบทเรียนได้ไม่น้อยอยู่
บทเรียนหนึ่งคือจะต้องหยุดใช้งานคนที่ตกหล่มประวัติศาสตร์ไปแล้ว เพราะการโต้ตอบแบบเก่าๆ จะทำให้ทุกอย่างหมุนไปสู่หายนะได้
เรื่องนี้น่าหวั่นใจ
ผู้รับใช้ฝ่ายอำมาตย์หมายเลขต้นๆ คือนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รีบกระโดดออกมาแสดงจุดยืนในตอนเช้าของวันอาทิตย์ที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๕๒ ในรายการโทรทัศน์ที่นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทองเป็นผู้สัมภาษณ์ว่า ไม่สำคัญหรอกว่าจะมีคนลงชื่อถวายฎีกามายมายขนาดไหน เขาถือว่ากระบวนการเช่นนี้เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ศาลตัดสินคดีความไปแล้วก็ไม่ต้องสนใจว่าใครจะคิดอย่างไร
โดยส่วนตัวผมไม่ได้เห็นว่าคุณอภิสิทธิ์นับหนึ่งถึงสิบได้อยู่แล้ว จึงไม่ได้พูดถึงนัก แต่จุดยืนแบบนี้ทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่า การใช้งานคนชนิดที่ยังคิดวกวนอยู่กับแนวโฆษณาชวนเชื่อของตัวเองอย่างคุณอภิสิทธิ์นั้น จะเป็นอำมาตย์คนเดียวกับที่ลงโทษทหารปืนใหญ่สมัยพระเจ้าเอกทัศน์กลับชาติมาเกิดหรือไม่
รู้ล่ะครับว่าอำมาตย์คิดซับซ้อนขนาดล่อให้คุณอภิสิทธิ์คิดหักหลังคุณสุเทพ เทือกสุบรรณแล้วมาเป็นคนของตัวเองอย่างสมบูรณ์ เพื่อจะชูเขาเป็นหนังหน้าไฟต่อไป แต่คิดไว้บ้างหรือไม่ว่าคบเด็กสร้างบ้านแล้วทุกอย่างจะดีขึ้นหรือจะวินาศฉิบหายยิ่งกว่าเดิม
ผมไม่ได้รักใคร่อะไรกับคุณสุเทพ แต่เห็นบทบาทคุณสุเทพในการระงับปัญหากับกัมพูชาแล้ว ก็รู้ว่าอย่างน้อยแกมีสติพอที่จะไม่ฆ่าตัวตายท่ามกลางสายตาโลกเอาง่ายๆ
คนที่ตาสว่างโพลงขึ้นว่าระบอบอำมาตยาธิปไตยทำลายชาติบ้านเมืองได้ถึงขนาดไหนนั้น เห็นจะหาใครเกินคุณสุเทพได้ยากในชั่วโมงนี้
ขนาดต้องหนีไปสงบสติอารมณ์อยู่นอกประเทศ เพราะหัวหมุนจนแทบไม่ได้ยินเสียงตัวเองแล้ว
ความจริงอย่างคุณสุเทพก็คงไม่ได้คิดลึกซึ้งอะไร เพียงหวังจะเฮือกให้ได้นานที่สุดสำหรับรัฐบาลชุดนี้เท่านั้น แต่ความรู้ใหม่ที่เหมือนถูกตีแสกหน้าทำให้เจ้าตัวเกิดเข้าใจขึ้นด้วยว่าการบริหารบ้านเมืองภายใต้ระบอบอำมาตย์นั้นแปลว่าต้องยอมฉิบหายแทนอำมาตย์เขาด้วย
พอไม่ยอมฉิบหายให้กับเขา เขาก็ล้วงตับเอาเด็กในคาถาออกมาเป็นคนของเขาแทน แถมพลเอกอีกคนหนึ่งที่อุตส่าห์วางแผนทำลายทักษิณมาด้วยกันตั้งแต่ต้น ก็กำลังโดนเล่นหนักด้วยข้อหาพยายามฆ่าคน (ของตัวเอง) ตาย ทั้งที่วางแผนฆ่าเพื่อเอามาบูชายัญให้เขา ก็ยิ่งแสดงว่ามวลอำมาตย์เขาอยู่มาได้นานขนาดนี้เพราะเขาไม่รู้จักบุญคุณของใคร ใช้ได้เขาก็ใช้ และเมื่อใช้แล้วเขาก็ทิ้ง
เกิดมาหลวมตัวเอาเมื่อแก่ขนาดนี้ เป็นใครก็ต้องเศร้า
ส่วนผู้ที่เชื่อเต็มเปี่ยมว่าเราชนะแล้ว ก็โปรดอย่าได้ลิงโลดใจไปเลยครับ ปรากฏการณ์ฎีกาที่เกิดขึ้นถือเป็นประวัติศาสตร์และน่าประทับใจก็จริง ฟ้าเปิดกว้างจนแลเห็นพระจันทราสวยงามกลางดึกคืนนั้นก็จริง แต่อย่าประเมินคำว่าความหน้าด้านต่ำเกินไปนัก
มาคิดเตรียมกันไว้ดีไหม ไม่ใช่ฝ่ายอำมาตย์เขาจะหน้าด้านหรือไม่ แต่ถ้าเขาหน้าด้านขึ้นมาจริงๆ แล้วเราจะทำอะไรต่อไปต่างหาก
ฎีกาไม่ใช่ป้ายสุดท้ายของขบวนประชาธิปไตยหรอกครับ.
-------------------------------------
TPNews (Thai People News): ข่าวสารสำหรับผู้รักประชาธิปไตย เที่ยงตรง แม่นยำ ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน (เฉพาะ DTAC 30 บาท/เดือน) Call center: 084-4566794-6 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)