dmc

ส่งเสริมคนดีให้ได้ปกครองบ้านเมือง

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

Monday, 5 November 2012

“ปรากฏการณ์สนามม้า” สัญญาณสู้รบใหม่ของระบอบอำมาตย์ฯ

ที่มา uddred

 Facebook อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ 5 พฤศจิกายน 2555 >>>





หลังจากพ่ายแพ้การเลือกตั้งในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2544 เครือข่ายระบอบอำมาตย์ก็ต้องทบทวนปัจจัยแห่งความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้ง และยังไม่มีท่าทีว่าจะยอมถอนจากอำนาจแต่ประการใด เราลองตรวจสอบขบวนแถวเครือข่ายระบอบอำมาตย์ ซึ่งที่จริงจะเห็นร่องรอยง่ายกว่านี้ถ้าไม่เกิดมหาอุทกภัยครั้งยิ่งใหญ่ใน ประวัติศาสตร์ ซึ่งอาจเป็นการวางยาหรืออย่างไร ? ที่ทำให้น้ำในเขื่อนถูกเก็บไว้มากกว่าปีก่อนซึ่งก็มีน้ำท่วม แต่หลังจากครบรอบปีการเกิดอุทกภัย แน่นอนว่าปลอดภัยจากน้ำท่วม สัญญาณรบก็เริ่มชัดเจนขึ้น
ตรวจสอบที่พรรคประชาธิปัตย์ เราเคยมีข้อสรุปจากบทความก่อนหน้านี้ว่า พรรคประชาธิปัตย์ละทิ้งการต่อสู้ในรัฐสภาโดยการป่วน ทำให้รัฐสภากลายเป็นสถานที่ไม่น่าเชื่อถืออีกในภาพรวม เมื่อลากเก้าอี้ ยื้อยุดประธานรัฐสภาให้ลุกออกมาพร้อมปาแฟ้มใส่ ทั้งหมดที่ผ่านมานั้นแสดงหนักเมื่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญผ่านวาระสอง กลุ่มพันธมิตรก็ออกมาขวางการลงมติ พรบ.ปรองดอง การแสดงออกเหล่านี้ก็เป็นการเริ่มก่อตัวเพื่อขยายแนวต่อต้านรัฐบาล โค่นล้มรัฐบาล และปกป้องรัฐธรรมนูญ 2550 โดยต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญและต่อต้านการออกกฎหมาย พรบ.ปรองดอง ทั้งหมดนี้เป็นการต่อสู้ที่มีเป้าหมายทางยุทธศาสตร์เดียวกัน ทั้งหมดแสดงถึงเอกภาพในการวางแผนขับเคลื่อน
ถ้าตรวจสอบการเคลื่อนไหวของพรรคประชาธิปัตย์ที่สุเทพ เทือกสุบรรณกล่าวอยู่เสมอว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้พ่ายแพ้พรรคเพื่อไทย แต่พรรคประชาธิปัตย์พ่ายแพ้งานมวลชนคนเสื้อแดงและโรงเรียนการเมืองนปช. ดังนั้นจึงกล่าวชัดเจนถึงความมุ่งมั่นที่จะทำงานแย่งชิงมวลชนหรือสร้างมวลชน ของพรรคประชาธิปัตย์ เช่นเดียวกับที่พรรคเพื่อไทยมีมวลชนคนเสื้อแดง ดังนั้น การมีบลูสกายและช่องอื่น ๆ อีก 2 ช่องก็เพื่อย้อนรอยคนเสื้อแดง รวมทั้งการเดินสายเปิดเวทีปราศรัยทุกสัปดาห์ และเปิดโรงเรียนการเมืองเลียนแบบย้อนรอย แม้ว่าจะได้มวลชนคนละแบบ ไม่ใช่มวลชนคนที่ต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ประชาธิปไตย แต่เป็นมวลชนที่ตามหลังอย่างเชื่อง ๆ หรือถูกล้างสมองว่าต่อสู้กับพวกล้มเจ้า เขาเปลี่ยนมวลชนในระบบของพรรคเป็นมวลชนที่ต่อสู้นอกระบบของระบอบอำมาตย์ เดิมพันนี้สูงมาก หมายถึงอนาคตของพรรคประชาธิปัตย์และการดำรงอยู่ของระบอบอำมาตย์ เราจึงเห็นการทุ่มสุดตัวของพรรคประชาธิปัตย์ที่ออกเดินสาย ด้านหนึ่งแก้ตัวให้กับความผิดกรณีปราบปรามเข่นฆ่าประชาชนปี 2553 ใสร้ายป้ายสีคนเสื้อแดง, พรรคเพื่อไทย และรัฐบาลยิ่งลักษณ์ อีกด้านหนึ่งพยายามขยายมวลชนของตน สร้างมวลชนต่อสู้เพื่อระบอบอำมาตย์
แม้ไม่มีเหตุผลรองรับเพียงพอ เพียงแค่อ้างว่ามาสู้เพื่อล้มรัฐบาลที่เป็นอันตรายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ก็อาจได้มวลชนนอกระบบจำนวนหนึ่งที่สามารถต่อสู้ในช่วงเวลาสั้น ๆ ได้ ดังนั้นการทุ่มสุดตัวดังเมื่อครั้งล้มรัฐบาลไทยรักไทยหรือให้ยิ่งใหญ่กว่า เพราะจะล้มยากกว่า ก็คุ้มค่ากับการลงทุน
ตรวจสอบที่กองกำลังนอกระบบขณะนี้ที่นำโดย เสธ.อ้าย พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ก็เป็นผู้นำที่ถูกดึงขึ้นมาเพื่อยกระดับงานมวลชนของระบอบอำมาตย์ เพราะสนธิ ลิ้มทองกุลไม่ได้การยอมรับจากพรรคประชาธิปัตย์และกองทัพหรือหน่วยงานความ มั่นคง หรือกลุ่มแนวทางปฏิวัติประชาธิปไตย (ของประเสริฐ ทรัพย์สุนทร) จากบนลงล่าง จะเห็นได้ว่าเสธ.อ้ายจะพูดแบบขู่ทุกครั้งว่าถ้าคนไม่ได้ตามเป้าเขาจะเลิกนำ แสดงว่าเงื่อนไขสำคัญในการนำมวลชนของระบอบอำมาตย์ต้องขอกำลังจริงเพื่อสร้าง ความชอบธรรมที่จะให้เครือข่ายระบอบอำมาตย์อื่นสนธิกำลังเข้าด้วยกันล้ม รัฐบาลพรรคเพื่อไทย ขบวนการคนเสื้อแดง ปกป้องรัฐธรรมนูญ 50 องค์กรอิสระของรัฐธรรมนูญ 50 และอำนาจตุลาการนิติบัญญัติตามรัฐธรรมนูญ 50 ไว้ได้หมด ไม่มีการเลือกตั้งอย่างน้อย 5 ปี และปิดประเทศจนกว่าระบอบทักษิณตามที่เขาเชื่อจะถูกทำลายหมด นี่ก็คล้ายเป็นยุครัฐประหารหลัง 6 ตุลาที่รัฐบาลธานินทร์ กรัยวิเชียรประกาศขั้นตอนสู่ประชาธิปไตยต้องใช้เวลา 12 ปี เป็นวิธีคิดอำมาตย์แบบเดียวกัน คือไม่ยอมคืนอำนาจให้กับประชาชน กองกำลังนอกระบบนี้จึงมาจากพรรคการเมือง นักธุรกิจสายอำมาตย์ กลุ่มธุรกิจการเงิน เจ้ามือต่าง ๆ (หวย, บ่อน, ยาเสพติด) นอกระบบ ที่เสียผลประโยชน์จากรัฐบาลทักษิณ และหน่วยงานความมั่นคงที่มีระบบคิดว่า ความมั่นคงคือการพิทักษ์ระบอบอำมาตย์แล้วพิฆาตประชาชน
เมื่อขบวนแถวมี
1. พรรคการเมืองอนุรักษ์นิยม
2. กองกำลังนอกระบบและมวลชนระบอบอำมาตย์ก็รอกวักมือเรียก
3. กองกำลังในระบบของระบอบอำมาตย์ มาทำรัฐประหารเช่นคราวสนธิ ลิ้มทองกุลเข้าพบสนธิ บุญยรัตกลินเพื่อให้ก่อรัฐประหาร
4. ยังมีกำลังสำคัญคือขบวนการตุลาการภิวัฒน์ร่วมกับองค์กรอิสระต่าง ๆ และกลุ่ม สว.สรรหา
คือกองทัพประจำการและข้าราชการประจำขององค์กรที่ไม่ได้ยึดโยงมาจากประชาชน ที่เป็นกลไกรัฐสำคัญที่จะร่วมส่วนกับพรรคการเมืองและมวลชนนอกระบบ เพื่อทำการหยุดประเทศไทยไม่ให้ก้าวต่อไปตามทิศทางที่ประชาชนเป็นใหญ่และทน ไม่ไหวกับการที่รัฐบาลนี้จะอยู่ต่อไปยาวนาน เพราะหมายถึงจุดจบของระบอบอำมาตย์ เพราะประชาชนรากหญ้า ผู้ใช้แรงงาน คนชั้นกลาง ปัญญาชนจะเข้าร่วมในทิศทางประชาชนที่ต้องการประชาธิปไตยและความยุติธรรมมาก ขึ้นเรื่อย ๆ นี่จะเป็นสัญญาณสู้รบใหม่ครั้งยิ่งใหญ่ของระบอบอำมาตย์ที่ประชาชนและพรรค เพื่อไทยจะประมาทมิได้ แม้ความชอบธรรมจะไม่ได้อยู่ที่กลุ่มคนเหล่านี้ แต่ต้องไม่ลืมว่าพวกเขากล่าวเอาไว้ว่าจะใช้วิธีไหนก็ได้ โหดร้าย หน้าด้านก็ต้องทำ นี่ทำให้ผู้เขียนคิดถึงเรื่องการประกาศยอมรับเขตอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศ ประกาศเสียทีจะดีไหม? ก็เพียงแค่เปิดประตูให้ฝ่ายอัยการเขาได้ตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นเท่านั้นเอง จะได้เป็นยันต์กันผู้ร้ายเข้าสิงร่างกายของพวกเทพ ๆ ทั้งหลายที่บอกว่าประชาชนเป็นพวกมาร...ต้องปราบ....ต้องฆ่า !!!